top of page

รีวิว iQOO 13 5G | ตัวจบสาย Performance แถมยัง ถ่ายรูปแฟนสวยอี๊ก !

รูปภาพนักเขียน: แอดมินแก้วแอดมินแก้ว

สวัสดีครับทุกคนแก้วจาก Mobile Photographer นะครับ รีวิวส่งท้ายปี อย่างที่ทุกคนเรียกร้องครับ iQOO 13 5G สมาร์ทโฟนสาย Performance ที่เคย Set มาตรฐานตัวเองไว้สูงมากในทุก ๆ ด้าน ปีนี้จะดีจะยังรักษามาตรฐานนั้นไว้ได้หรือเปล่า ? วันนี้รีวิวให้ดูครับ

SPECIFICATION | iQOO 13 5G
  • Chipset : Snapdragon 8 Elite

  • RAM 16GB LPDD5X Ultra | Storage 512GB UFS 4.1

  • Display : 2K 6.82-inch LTPO AMOLED | 1B colors | 144Hz | HDR10+

  • Operation system : Funtouch OS 15 | Android 15

  • Good quality Stereo speaker | IP68/IP69

  • Bluetooth 5.4 | USB Type-C 3.2 | Wifi7

  • Battery 6150mAh | 120W vivo FlashCharge

WHAT'S IN THE BOX : อุปกรณ์ภายในกล่อง
  • ตัวเครื่อง iQOO 13 5G

  • Case กันกระแทกแบบนิ่ม สีใส

  • USB-C Cable ( USB-A to USB-C )

  • Adapter vivoFlashCharge 90W

  • Sim card ejector | Manual Document

DESIGN งานออกแบบ

การออกแบบตัวเครื่องของ iQOO 13 5G เครื่องนี้ ภาพรวมการออกแบบคล้ายกับ Generation ที่แล้ว อย่าง iQOO 12 5G แต่มีการปรับปรุงหลาย ๆ ส่วนให้ดูมีความเรียบง่ายมากขึ้น แต่คงความหรูหราของเครื่องเอาไว้ได้เหมือนเช่นเคย

Design Module กล้องที่เป็นเอกลักษณ์ของ iQOO ในรูปแบบสี่เหลี่ยมขอบมน แต่ในครั้งนี้ได้มีการใส่ลูกใหม่พิเศษแบบใหม่เข้ามา Monster Halo Lights ที่จะเป็นไฟ RGB Ambience Light อยู่บริเวณกรอบนอกของ Module กล้อง

เราสามารถที่จะเลือกปรับแต่งไฟ RGB ตรงนี้ได้ตามใจเราเองเลย อยากจะได้ Pattern ในการกระพริบแบบไหน อยากจะได้สีสันที่แสดงออกมาเป็นสีอะไร สว่างแค่ไหน เราสามารถปรับได้ทั้งหมดเลย ซึ่ง ไฟ Monster Halo Lights ตัวนี้ นอกจากจะสามารถเสริมบรรยากาศระหว่างเล่นเกมได้แล้ว เรายังสามารถตั้งให้ Sync กับการใช้งานด้านอื่นได้ด้วย เช่น แสงไฟกระพริบ เมื่อมีแจ้งเตือน หรือสายเรียกเข้า เวลาเราฟังเพลง หรือดู Content ต่าง ๆ ก็สามารถตั้งให้มีไฟได้อีกด้วย

สีตัวเครื่องที่มีวางจำหน่ายจะมีด้วยกันทั้งหมด 2 สีก็คือ สีขาว Legend White และ สีดำ Alpha Black วัสดุฝาหลังเป็นกระจกเหมือนกัน พื้นผิวต่างกันเล็กน้อย ถ้าเป็นสีขาว Legend White จะเป็นกระจกด้าน ถ้าสีดำ Alpha Black จะเป็นกระจกที่เคลือบ Fluorite AG มา สวยทั้งคู่ ป้องกันรอยนิ้วมือได้ดีทั้งคู่นะครับ

Frame ของตัวเครื่องจะเป็นแบบ Flat ใช้วัสดุที่เป็น Aluminum Alloy มีการเก็บขอบเหลี่ยมมุมต่าง ๆ ไม่ให้คมจนเกินไป และ การทำสี เป็นแบบมันเงา ก็อาจจะขึ้นรอยนิ้วมือง่ายนิดหนึ่ง ตัวเครื่องมีความหนาอยู่ที่ประมาณ 8mm และน้ำหนักตัวเครื่อง ถ้าเป็นสีดำ จะอยู่ที่ 207 กรัม ถ้าแต่เป็นสีขาว จะอยู่ที่ 213 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับปริมาณ แบตเตอรี่ 6150mAh และตัวเครื่อง 6.82 นิ้ว ก็ถือว่า รีดน้ำหนักออกมาได้เบามาก ๆ แล้ว ทำให้การจับถือใช้งาน เวลาเราใช้งานปกติในแนวตั้ง หรือใช้งานเวลาเล่นเกม ในแนวนอน ทำได้ดีทั้งคู่เลยครับ

บริเวณด้านล่างของตัวเครื่องก็จะเป็นที่อยู่ของ Port USB-C 3.2 มีลำโพงหนึ่งตัว ไมโครโฟนหนึ่งและ ถาดใส่ซิม แบบ Dual Sim ส่วนด้านบนก็จะมี Microphone และ ลำโพงอีกอย่างละหนึ่งตัวนะครับ Build Quality ตั้งแต่งานประกอบ ไปจนถึง งานสี ทำได้ดีครับ ได้รับการรับรอง IP Rating อยู่ที่ IP68/IP69

DISPLAY : หน้าจอแสดงผล

ทีนี้เราพลิกมาดูกันในด้านของหน้าจอกันบ้างนะครับ จุดนี้แก้วถือว่าเป็น อีกหนึ่ง Highlight สำคัญ ของ iQOO 13 5G เลย เพราะเราจะได้หน้าจอในรูปแบบ Flat Screen ที่ Gamers หลายคนต้องการ มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.82 นิ้ว ใหญ่เต็มตา โดยใช้ Panel หน้าจอ LTPO AMOLED BOE Q10 ที่ทันสมัยที่สุดในหมู่เรือธงของปี 2024 นี้แล้ว

การแสดงผลขอบเขตสีอยู่ที่ 1 พันล้านสี รองรับ Content ที่เป็น HDR10+ ตัว Resolution หน้าจออยู่ที่ 2K มี Refresh rate หน้าจอที่ 144Hz และมี Pixel density อยู่ที่ 510ppi ให้รายละเอียดที่คมชัดแน่นอน แก้วได้ลองเอาไปใช้งานในการตกแต่งภาพผ่าน App Lightroom Mobile ก็ให้ค่าสีที่ตรง เวลาซูมดูจุดเล็ก ๆ ในภาพก็เห็นรายละเอียดได้ชัดเจน


การใช้งานได้ด้าน Entertainment ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน สามารถรับชม Content จาก Platform Streaming ต่าง ๆ ได้ใน Resolution สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น Netflix / Prime Video / MAX / Disney+ และ YouTube 4K 60FPS HDR ดูได้ที่ความละเอียดสูงสุดทั้งหมดเลย เท่านั้นยังไม่พอนะครับ ยังมีอีก 2 ฟีเจอร์ที่มาช่วยทำให้ประสบการณ์ในการรับชมยอดเยี่ยมขึ้นอีกด้วย

ได้แก่ Visual Enhancement หรือ การปรับปรุงภาพ ที่จะช่วยปรับสีสัน Contrast และรายละเอียดภาพให้มีความสวยงามมากขึ้น อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่แก้วถือว่าเป็น Highlight เลย ก็คือ การที่เราสามารถใช้ เทคโนโลยี MEMC ในการเติม FPS เข้าไปในเนื้อหาที่เรารับชมอยู่ได้ ถ้าให้ใครชอบดูหนังแบบ Frame rate ลื่น ๆ ต้องชอบจอตัวนี้แน่นอน

สุดท้ายก็คือ ความสว่างหน้าจอสูงสุด หรือ Peak brightness อยู่ที่ 4500nits ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้งานในทุก ๆ สภาพแสงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปในที่ที่เป็น Outdoor หรือระหว่างการใช้งานกล้องที่เราต้องการความคมชัดให้มากที่สุด จอตัวนี้ก็ทำได้ดีครับ นอกจากนั้น ยังรอบรับเทคโนโลยี PWM Dimming สูงสุดอยู่ที่ 2592Hz อีกด้วยครับ

แล้วก็ Fingerprint Scanner ก็จะเป็นในรูปแบบ Ultrasonic Sensor สามารถปลดล็อกได้รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่มีแสงไฟแยงตา เวลาปลดล็อกในที่แสงน้อย ตำแหน่งในการจัดวางก็ดีมาก ๆ ไม่ต้องเอื้อมนิ้วไกลเลยครับ

CAMERA SPECIFICATION

มาต่อกันที่เรื่องของกล้องถ่ายภาพกันเลยนะครับ เรื่องกล้องก็เป็นอีกจุดที่มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน โดยจะมีชุดกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวด้วยกัน เราไปดู Spec กล้องกันก่อนเลยนะครับ

  • MAIN 50MP | IMX921 | f/1.88 | OIS | PDAF

  • 2x TELEPHOTO 50MP | IMX816 | f/1.85 | OIS | PDAF

  • ULTRA WIDE 50MP | ISOCELL JN1 | f/2.0 | 15mm | AF

  • FRONT 32MP | GC32E1 | f/2.0 | FF

เห็น Hardware กล้องกันไปแล้วนะครับ ทีนี้ขอพูดถึง หน้าตา App กล้องสักเล็กน้อย เรามี Color Profile หรือว่าสีสันมาให้เลือก ทั้งหมด 3 แบบ ก็คือ Vivid | Textured | Natural

แล้วก็ Mode ใหม่ที่ได้มาจากแบรนด์ใต้ชายคาตัวเองอย่าง vivo ก็คือ Street Mode หน้าตา UI App กล้องจะเปลี่ยนไป มีการผสมผสาน Mode Pro และ Mode Auto ปกติเข้ามา สามารถเลือก Color Profile เพิ่มเติมได้หนึ่งอัน ก็คือ Black & White หรือขาวดำ ซึ่งแก้วบอกเลยว่า Contrast ที่เขาจูนมาให้สวยมาก จะถ่ายคน จะถ่ายวิว ได้หมดเลย

นอกจากนั้นก็จะมี AI ที่ใช้ในการลบคนออกจากภาพ ที่จะเป็นในรูปแบบ Auto detect ให้กับเราเลย กดทีเดียวจะจับตำแหน่งคนทั้งภาพ แล้วให้เราสามารถเลือกลบได้ตามใจเรา หรือ จะเป็นการวงในจุดที่เราต้องการลบด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เหมือนกันครับ

กล้องหลัก 50MP | IMX921 | f/1.88

เรามากันที่กล้องหลัก ความละเอียด 50MP ที่ใช้ Sensor IMX921 กันเลยนะครับ ลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพของ iQOO 13 5G ไม่ว่าจะเป็นกล้องตัวไหนก็ตามนะครับ จะมีการ Process เรื่องสีสัน และ Sharpness มาค่อนข้างเยอะ ทำให้ถ่ายจบหลังกล้องได้ง่าย และน่าจะตรง Taste หลาย ๆ คนได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครชอบภาพที่ดูเป็นธรรมชาติขึ้นหน่อยแก้วแนะนำให้ไปใช้ Picture Profile แบบ Natural นะครับช่วยได้ประมาณหนึ่ง

คุณภาพของเนื้อไฟล์ และ Dynamic Range ทำออกมาได้ดี ในระดับเดียวกับสมาร์ทโฟนเรือธงที่เน้นกล้องเลย เก็บรายละเอียดในส่วนท้องฟ้า ในสภาพแสงต่าง ๆ มาได้ครบ ไม่เจออาการ Highlight หลุด หรือ Detail ในส่วนเงาทึบจนเกินไป และ สามารถ Balance Software Noise Reduction ที่จัดการจุดรบกวนมาให้เราได้ดี ไฟล์ใส โดยที่ Detail ส่วนพื้นผิวยังเก็บมาได้ครบถ้วน

ส่วน Software Auto WB ช่วงกลางวัน ช่วงแสงดีๆ วัดได้ตรง จะมีแค่บางสภาพแสงเช่น ตอนเย็น ๆ ที่แสงอาทิตย์เป็นสีส้ม อาจจะมีเพี้ยน ๆ ให้เห็นได้บ้าง แต่โดยรวมแล้วคุณภาพไฟล์ไว้ใจได้เลยครับ

เวลาเอาไปถ่ายภาพอาหาร AI จะมีการ Detect Scene และปรับแต่งภาพให้เราแบบอัตโนมัติ ทำให้สีสันของภาพที่ออกมานั้น มีความสด โดยเฉพาะ เฉดสีส้ม เหลือง แดง จะสดมาก ๆ ทำให้เวลาถ่ายอาหารออกมาจะดูน่าทาน โดยเราไม่ต้องไปปรับแต่งอะไรมากเลย

แล้วก็ในเรื่องของ Depth of field หรือว่า การถ่ายภาพชัดตื้น แบบเน้นละลายหลัง สำหรับแก้วอยู่ในระดับโอเค ไม่ได้ดีมาก และไม่ได้แย่ เพราะถึงแม้ว่า Sensor ที่ใช้ จะเป็นตัวเดียวกับ vivo X200 แต่ด้วย รูรับแสงที่แคบกว่าพอสมควรเลยครับ

PORTRAIT PHOTOGRAPHY : ภาพถ่ายบุคคล

ทีนี้เรามาต่อกันที่ Portrait Photography หรือการถ่ายภาพ Portrait กันบ้างนะครับ ในครั้งนี้ IQOO 13 5G ได้อัพเกรดมาให้เราเพิ่ม 2 จุดหลัก ๆ จุดแรกคือ ระยะในการถ่ายภาพ Portrait เราสามรถใช้งานได้ทั้งหมด 4 ระยะแล้ว ก็คือ 23mm | 35mm | 50mm | 100mm

อีกหนึ่งจุดก็คือ มี Bokeh Effect ที่ Design มาใหม่ทั้งหมด 3 ตัวด้วยกัน ซึ่งก็จะมี Classic Bokeh | Bokeh แบบหมุน | Bokeh แบบฟองสบู่ ซึ่งช่วยให้เอกลักษณ์ในการถ่ายภาพ Portrait ของ iQOO 13 5G โดดเด่นที่สุด เมื่อเทียบกับเรือธงสาย Performance ด้วยกันเอง หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรือธงหลาย ๆ ตัวด้วย

จากที่แก้วได้เอาไปถ่าย Portrait มาเป็นร้อย ๆ ภาพ สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ถ้าจะเอามาถ่ายแฟน ถ่ายท่าน ผบ. ที่บ้าน ที่อนุญาตให้ซื้อเครื่องนี้มาเล่นเกม ไม่มีผิดหวังครับ การทำ Bokeh Simulation มีการปรับปรุงมาให้ดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น บางอันแอบจะคล้าย ๆ vivo Series ด้วยซ้ำ

ตัว Skintone จะให้โทนสีออกมาเป็นทางโทนอุ่น ซึ่งถ้าเกิดใครรู้สึกว่าผิวส้มไป เราไปปรับแก้ใน Beauty Mode ได้ หรือจะใช้ Filter มาจูนสีใหม่อีกทีก็ได้ อย่าง Filter ที่แก้วใช้บ่อยมาก ก็จะชื่อว่า Vintage กับ สีเทา เวลาเอาไปถ่ายกับ Scene ที่มันมีความดิบ มีความ Street หน่อยนะ โคตรเข้า

ส่วนในเรื่องคุณภาพไฟล์ ถือว่าทำได้ดีหมดเลย ในระยะ 23mm | 35mm | 50mm ส่วนในระยะ 100mm ที่เป็นการ Crop เข้าไป 2 เท่าในกล้อง Telephoto เอาจริง ๆ ไม่แย่เลยนะ คือ เราจะเห็นได้แหละว่ามีการสูญเสียรายละเอียดไปบ้าง แต่ถ้า เราแค่โพสลง Social Media ก็เพียงพอต่อใช้งานแบบ เหลือ ๆ แล้วครับ

แก้วชอบที่เวลาเราถ่ายภาพ Portrait แบบ ย้อนแสง ตัว Software HDR สามารถจะรักษาความสว่างส่วนใบหน้าของตัวแบบเอาไว้ได้ดี และยังทำให้ดูเป็นธรรมชาติได้อีกด้วย ถ้าเกิดใครรู้สึกว่าหน้าตัวแบบดูสว่างเกินไป สามารถไปปรับแก้ได้ใน Beauty Mode > Whitening นะครับ

แต่ถ้าจะถามว่า ระยะไหนเป็นระยะที่แก้วใช้งานบ่อยที่สุด ก็แน่นอนว่า คือ ระยะ 50mm และ ระยะ 100mm ที่เราสามารถจัด Compose ได้ง่าย ตัว Bokeh Simulation ก็จะมีการปรับให้เบลอได้โบเก้ที่สวย ดูอลังการมากกว่าระยะอื่น ๆ อีกด้วยครับ

กล้อง TELEPHOTO 2x | f/1.85 | IMX816 | OIS PDAF

ต่อจากการถ่ายภาพ Portrait เรามาดูกันต่อดีกว่าว่า กล้อง Telephoto 2x ที่ใช้ Sensor IMX816 ตัวนี้เราเอามาถ่ายอะไรได้อีกบ้าง ? แก้วคิดว่า หลายคนคงรู้สึกเสียดายที่ Periscope Telephoto จากใน Generation ที่แล้วหายไป ซึ่งแก้วก็เสียดายไม่แพ้กันครับ แต่เลนส์ Optical 2x รูรับแสงกว้าง ๆ ระดับ f/1.85 แบบนี้ มันก็ไม่แย่เลยนะ 

แก้วลองเอาออกไปถ่ายภาพในเมืองมา ถ่ายพวก สถาปัตยกรรม ถ่าย Urban Life ถ่าย Street ยิ่งถ้าใช้กับ Street Mode ที่เขาใส่มาให้เราด้วยนะ ถ่ายสนุกใช้ได้เลย คือ ด้วยความที่ Focal Length 50mm มันเป็นระยะกลาง ๆ ไม่แคบไป ไม่กว้างไป จัด Compose ทำได้ไม่ยาก 

นอกจากนั้นกล้อง Telephoto ตัวนี้รูรับแสงเขาค่อนข้างกว้าง และมีระยะโฟกัสใกล้สุดอยู่ที่ประมาณหนึ่งฟุต เวลาเราถ่ายอะไรใกล้ ๆ มันจะมี Depth ให้เราเห็นได้บ้างละ ซึ่งเราสามารถจะนำจุดนี้ ไปใช้ในการจัดวาง Foreground Background เพื่อสร้างมิติให้กับภาพถ่ายก็ได้เช่นกัน

คุณภาพไฟล์จากกล้อง Telephoto ตัวนี้ ผลลัพท์ที่ได้ มันแทบจะเหมือนกับกล้องหลักเลย สีสันมีความตรงพอ ๆ กัน Contrast / Dynamic Range สวยกำลังดี และ Autofocus ที่แม่นยำไม่วูบวาบ การจัดการ Noise เวลาถ่ายภาพในสภาพแสงยาก ๆ หรือถ่ายย้อนแสงก็ทำได้ดี

ส่วนระยะ Zoom ไกลสูงสุด แบบ Lossless ที่ไว้ใจในเรื่องคุณภาพไฟล์ได้ แก้วให้เต็มที่ไม่เกิน 10x นะครับ เวลาที่เราเอาไปซูมพวกตัวอักษร ซูมป้าย ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะก็เขาจะมี AI ที่ช่วยปรับให้คมขึ้นให้กับเราอัตโนมัติครับ

กล้อง ULTRA WIDE ANGLE มุมกว้าง 50MP | ISOCELL JN1 | AF

มาต่อกันที่กล้องตัวต่อไปครับ นั่นก็คือ กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 50MP ที่ใช้ Sensor ISOCELL JN1 มี Focal Length อยู่ที่ 15mm ซึ่งองศาในการรับภาพก็จะกลาง ๆ ไม่ได้กว้างมาก

คุณภาพไฟล์ในกล้องตัวนี้ ถือว่าใช้ได้เลยครับ สีสันที่ได้ตรงกับกล้องตัวอื่น ๆ Dynamic Range ของภาพเวลาทำงานร่วมกับ Auto HDR ก็กว้างใช้ได้ หรือ เวลาที่เราถ่ายย้อนแสง สามารถจะเปิดรายละเอียดส่วนเงาได้กำลังพอดี ไม่ขุดมากจนเกินไป

และยังจัดการพวก Noise ในส่วนมืดของภาพ ออกมาได้เนียนตาดีที่เดียว อาจจะพอเห็นว่ามีสูญเสียรายละเอียดไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ออกมาดีกว่ากล้อง Ultra Wide Angle ในเรือธงหลาย ๆ ตัวในปีนี้

ไปจนถึงการจัดการ Distortion กับ Chromatic Abberation ทำได้ดี ไม่เจอขอบเขียว ขอบม่วงเลย นอกจากนั้น ด้วยความที่กล้อง Ultra Wide Angle ตัวนี้มี Auto Focus เราสามารถนำมาถ่ายภาพ Macro ได้ด้วยนะ

แต่เวลาเราเอามาใช้ในการถ่ายภาพ Macro อาจจะรู้สึกว่า Perspective และ Depth of field มันไม่ค่อยสักเท่าไหร่ แก้วแนะนำว่า ถ้าต้องการถ่ายภาพ Macro จริง ๆ ให้ใช้การ Zoom เข้าไปในระยะ 1.9x ด้วยกล้องหลักจะได้ภาพที่สวยกว่าครับ

LOW LIGHT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย

เรามาต่อกันที่ LOW LIGHT PHOTOGRAPHY หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อยกันบ้างนะครับ เราสามารถใช้งาน Night Mode ได้ในกล้องหลังทุกตัว รวมไปถึงกล้องหน้าด้วยนะครับ

ลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพใน Night Mode ของ iQOO 13 5G นั้น จะเน้นไปที่ความคม และสีสันในภาพ โดยเฉพาะ ความคมของภาพเนี่ย เติม Clarity เข้ามาเยอะมาก จะใช้กล้องไหน ถ่ายออกมาก็ดูคมหมด ส่วนในเรื่องของสีสันก็จะมีการเร่งความอิ่มของสีขึ้นมา มากกว่าตอนกลางวันมากพอสมควร

ทำให้เวลาเราเอาไปถ่ายพวกภาพ Cityscape ตอนกลางคืน จะออกมาสวยมาก ส่วนในเรื่องของคุณภาพไฟล์ กล้องหลัก และ กล้อง Telephoto 2x คุณภาพพอ ๆ กัน ไฟล์ใส สีสวย Detail ดี ส่วนกล้อง Ultra Wide Angle ไฟล์ใสเหมือนกันนะ แต่ที่มันใสเพราะ Software Noise Reduction เกลี่ย Noise ออกไปเยอะ ซึ่งยิ่งเกลี่ยเยอะ ก็หมายความว่า เราก็จะสูญเสียรายละเอียดเล็ก ๆ ตามพื้นผิว ออกไปด้วยนั่นเองครับ

ใครที่กลัวว่ากล้อง Telephoto ของ iQOO 13 5G ที่ลดระยะลงมาเป็น 2x จะถ่ายภาพกลางคืนได้ดีเหมือนกับตอน iQOO 12 5G ไหม ? ถ้าเทียบในเรื่องคุณภาพไฟล์นะ ดีกว่าตอน iQOO 12 5G เยอะเหมือนกันครับ ด้วย Sensor ที่เป็น Technology ปัจจุบัน และ รูรับแสงที่กว้างขึ้นเยอะมาก ๆ ทำให้ไว้ใจเรื่องคุณภาพไฟล์ได้เลย

นอกจากการถ่ายภาพด้วย Night Mode ตามปกติแล้ว เราก็มี Filter สีสันต่าง ๆ สำหรับการถ่ายภาพตอนกลางคืน ไปจนถึง Mode Long Exposure ถ่ายเส้นไฟ ถ่ายน้ำตก ต่าง ๆ ก็มีมาให้ครบ แต่น่าเสียดายตรงที่ใช้ได้แค่กล้องหลักเท่านั้นนะครับ

RAW File Performance : ประสิทธิภาพของ RAW File

เรามาต่อกันที่ RAW File Performance ใน IQOO 13 กันบ้างนะครับ โดยเราจะสามารถใช้ RAW File ได้รูปแบบเดียว ก็คือ Sensor RAW แต่ดีที่ สามารถใช้งานได้กับ กล้องหลังทุกตัวเลย ทั้งกล้องหลัก กล้อง Telephoto และ กล้อง Ultra Wide Angle โดยจะถ่ายออกมาได้ความละเอียดที่ 12MP นะครับ ไม่สามารถถ่าย RAW เป็น 50MP ได้

สำหรับคุณภาพ และความยืดหยุ่นของ RAW File แก้วให้ กล้องหลัก กับกล้อง Telephoto 2x ทำได้ดีพอ ๆ กัน และ คาดหวังได้ทุกครั้งที่หยิบมาใช้งาน มี Dynamic Range ที่กว้าง เวลาเอามา ขุด Detail ในส่วนเงา Noise ไม่เยอะ ดึง Highlight กลับมาได้ค่อนข้างง่าย

ซึ่งพอคุณภาพของ RAW File ในกล้อง Telephoto 2x มันดีขนาดนี้ กลายเป็นแก้วใช้งานบ่อยมาก เวลาถ่ายภาพ Landscape หรือ Cityscape มันเป็นระยะกลาง ๆ ที่เราจัด Compose ได้ไม่ยาก มีมุมมองภาพที่กว้างใกล้เคียงกับสายตามนุษย์ที่สุด เวลาใช้ระยะนี้ถ่ายออกมา ภาพก็จะดูสมจริงดีครับ

แต่ RAW ในกล้อง Ultra Wide Angle เนี่ย ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะมี Color noise ในภาพแล้ว Distortion ก็ไม่แก้มาให้ Dynamic Range ก็น้อยกว่าตัวอื่น สำหรับกล้องตัวนี้ถ่าย JPEG ดีกว่าครับ

FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 32MP

ดูภาพนิ่งในกล้องหลังครบแล้ว มาดูภาพนิ่งในกล้องหน้ากันบ้าง ในครั้งนี้ iQOO ได้มีการอัพเกรดกล้องหน้าขึ้นมาเป็น 32MP เรียบร้อยแล้ว มีองศาในการรับภาพกว้างขึ้นเล็กน้อย การเก็บรายละเอียด และ Dynamic Range ในกล้องหน้า ทำได้ดีกว่าตัวเดิมพอสมควร

เวลา Selfie ในที่ที่มีแสงน้อย ก็พอที่จะ Balance ความเป็นธรรมชาติเอาไว้ได้อยู่ ถึงแม้การ Process จะออกมาในสไตล์ Night Mode ที่จะมีการทำ Noise Reduction เยอะ ๆ สักนิดหนึ่ง รายละเอียดส่วนพื้นผิวจะดูเรียบ ๆ เนียน ๆ ไม่ได้เห็น Texture มากนัก

ตัว Beauty Mode อาจจะเป็นจุดที่แก้วไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันดู Beauty มากไปนิด แม้เราจะเลือก Profile แบบ Natural ก็ตาม ซึ่งใครชอบ Look ที่มันดูเรียลแบบแก้ว ลองปิด Beauty ในกล้องหน้าดูครับ ยังดูดีอยู่ Skintone ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ส่วนพวก Bokeh Effect ในกล้องหน้า ไม่มีลูกเล่นอะไรมาก และอาจจะไม่ได้มีการไล่ระดับเหมือนกล้องหลัง แต่ตัดขอบการเบลอได้ดีใช้ได้

VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ

จบภาพนิ่งกันไปแล้วมาดูการถ่ายวีดีโอกันบ้างนะครับ สำหรับ Resolution สูงสุดที่เราถ่ายได้จะอยู่ที่ 8K 30fps ในกล้องหลัก และ 4K 60fps ในกล้องหลัก | Ultra Wide Angle และกล้องหน้า ส่วนกล้อง Telephoto จะได้สูงสุดที่ 4K 30fps เท่านั้น


คุณภาพของไฟล์ Video จะให้ Bitrate มาอยู่ที่ประมาณ 50mbps ตามมาตรฐานของสมาร์ทโฟนเรือธง ใน Resolution 4K ส่วนตัว Dynamic Range กับการวัดแสงในโหมด Video ทำได้โอเคเลยครับ Detail ดี ภาพสว่าง แต่แก้วแอบไม่ชอบจุดหนึ่งก็คือ เขาจะมีการเติม Sharpness ใน Video ให้ภาพดูคม เวลาเราดูในจอเล็ก ๆ มันโอเคนะ แต่เวลามาเปิดในจอใหญ่ แอบรู้สึกภาพมันดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ อันนี้แล้วแต่คนนะ บางคนอาจจะชอบก็ได้ 


ส่วนการกันสั่นวีดีโอ ในกล้องหลัก และ กล้อง Telephoto ถือว่าดีเลย สามารถเดินถือถ่ายด้วยมือข้างเดียวได้สบาย ส่วนในกล้อง Ultra Wide Angle ถ้าเรายืนอยู่กับที่ แล้ว แพนกล้องไปมาถือว่าโอเคนะ แต่ถ้าเดินไปถ่ายไป มันจะมีอาการ Jerk ในแนวตั้ง พอจะหากันสั่นพิเศษมาช่วย ก็ดันไม่รองรับกล้อง Ultra Wide Angle อีก ตรงนี้ก็น่าเสียดาย ปิดท้ายด้วย Video ในกล้องหน้าถึงแม้จะถ่ายได้ที่ 4K แล้วก็ตาม แต่องศาในการรับภาพไม่กว้างมาก และความนิ่งของกันสั่นก็ยังไม่ดีนัก ถ้าจะเอามา Vlog แก้วว่ายังไม่ค่อยเหมาะครับ

PERFORMANCE | ประสิทธิภาพ

iQOO 13 5G ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Snapdragon 8 Elite เรื่อง Performance เรื่องความแรง แก้วขอใช้คำว่า เหลือกิน เหลือใช้ ยิ่งถ้าการใช้งานเราเป็นรูปแบบ Daily Use ทั่ว ๆ ไป เช่น การใช้งานในการเล่น Social Media

หรือจะเป็นการใช้งานในการทำงานที่ซับซ้อน เช่น การแต่งภาพ RAW File จาก Lightroom Mobile การตัดต่อวีดีโอด้วย Capcut สามารถแสดงภาพ Preview ได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่นไม่มีกระตุกเลย ซึ่งที่ทำได้แบบนี้ไม่ใช่มาจาก CPU / GPU อย่างเดียวนะ ความเร็วของ Storage ก็สำคัญครับ ซึ่ง iQOO 13 5G ให้เวอร์ชั่นล่าสุดในตลาดมาเลย

ส่วนฟีเจอร์ AI ที่หลายคนต้องการ เราก็จะมี Google Gemini มาให้ในเครื่องเลย โดยที่สามารถใช้งาน Circle to Search หรือ เราสามารถใช้งาน Utility Features เช่น พวกการสรุปความ การแปลงเสียงเป็นข้อความ หรือการแปลภาษา ก็สามารถใช้งานได้ครับ

ทีนี้ในเรื่องของการเล่นเกม ด้วยความที่ Spec ของเครื่องที่แก้วนำมารีวิว เป็น Spec ตัวสูงสุดที่ขายในไทย ก็คือ RAM 16GB + 512GB ทำให้ไม่ว่าจะโหลดเกมไหนมาเล่น iQOO 13 5G สามารถจะรันได้ที่ Graphic Setting ระดับสูงสุด ด้วย Frame Rate สูงสุดเลยครับ

อย่างเกมที่แก้วไปลองเล่นมา ก็จะมี Diablo Immortal | Undecember | Genshin Impact | Rise of King Arthur | Lineage II Evolution เล่นได้แบบราบรื่น Frame rate นิ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ในสภาพอุณหภูมิปกติ ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ความร้อนตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 44 องศาเซลเซียส ส่วนการใช้งานแบตเตอรี่เวลาเล่นเกม ถ้าเป็นเกมที่กราฟิกสูงสุดหน่อย จะใช้แบตเตอรี่ต่อชั่วโมงอยู่ที่ 13% ถ้าเป็นเกมที่กราฟิกกลาง ๆ หรือไม่ได้สูงมาก สามารถใช้พลังงานได้ต่ำกว่า 10% เป็นเรื่องปกติเลย

ในเมื่อเป็นสมาร์ทโฟนสาย Performance สายเกมทั้งที ต้องมีฟีเจอร์เสริมมาช่วยให้การเล่นเกม มันได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมถูกไหมครับ ? และทาง iQOO 13 5G ก็จัดมาให้เราเพียบเลย ได้แก่

  • การปรับ การแสดงผลภาพของเกมให้สวยงามมากขึ้น

  • การ Upscale Resolution กราฟิกในเกมให้ตรงกับ Resolution หน้าจอก็คือ 2K

  • การเพิ่ม Frame Rate ให้กับเกมที่รองรับ ช่วยให้ได้ความ Smooth เนียนตามากขึ้น

  • ไฟ Monster Halo Lights ที่จะทำงานร่วมกับเกมที่เราเล่น ( Genshin Impact แสดงผลออกมาตอนเราใช้สกิลธาตุต่าง ๆ )

ส่วนในเรื่องของแบตเตอรี่ถ้าเป็นวันที่เราใช้งานเบา ๆ ไม่ได้เปิดแสงหน้าจอสูงสุดบ่อย ๆ Screen on time โดยเฉลี่ยที่ทำได้ จะอยู่ที่ 8 ชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นวันที่เราเล่นเกมเยอะ ใช้งานกล้องเยอะ Screen on time จะลดลงไปบ้าง แต่ไม่ได้มากอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด อยู่ที่ 7 ชั่วโมงครึ่ง ก็คือ หายไปแค่ 30 นาทีเท่านั้นครับ

OVERVIEW & OPINION

หลังจากปีที่แล้ว iQOO 12 5G ได้สร้างปรากฏการณ์ สมาร์ทโฟนเรือธงสายเล่นเกม ที่ถ่ายรูปได้นิดหน่อย ในปีนี้ ทาง iQOO ได้เบนเข็ม กลับไปสู่เส้นทางของความเป็น Performance Phone พันธุ์แท้ มากขึ้นกว่าเดิม (นิดหน่อย) โดยโฟกัสคนที่เล่นเกมเป็นหลัก ซึ่งมีการมีการ Upgrade มาหลายด้านมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขุมพลัง Snapdragon 8 Elite กับ RAM LPDDR5X Ultra และ Storage ในรูปแบบ UFS 4.0 และ Connectivity Hardware เวอร์ชั่นล่าสุดทั้ง Bluetooth | USB-C และ WiFi

ส่วนในเรื่องของหน้าจอ ก็มีการปรับปรุงมาเช่นเดียวกัน โดยตอนนี้ จะได้เป็นหน้าจอ Flat Screen ขนาด 6.82 นิ้ว Resolution 2K | Refresh Rate 144Hz โดยใช้ Display Panel แบบ LTPO AMOLED รุ่น Q10 จากทาง BOE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่เปิดตัวในปีนี้เลย ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับ Chip Q2 และ Software Ultra Game Mode เราจะสามารถปรับปรุงการเรนเดอร์ภาพของเกม ให้สวยงามขึ้น คมชัดขึ้น และมี Frame Rate ที่ลื่นไหลมากขึ้นได้


ส่วนในเรื่องของกล้องถ่ายภาพ ถ้าเอาแบบสั้น ๆ ก็คือ ดีขึ้นในทุกจุด ทั้งคุณภาพ Hardware และ Software ของกล้อง ได้ Sensor และระบบโฟกัสที่ทันสมัยขึ้น แต่แลกมาด้วย ระยะ Focal Length ของกล้อง Telephoto เปลี่ยนจาก Periscope 3x มาเป็น Optical 2x ที่มีรูรับแสงกว้างแทน ทำให้ เรื่องการ Zoom ไกล จะทำได้ไม่ดีเท่ารุ่นที่แล้วแน่นอน แต่สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้สวยขึ้น ระยะหลากหลายมากขึ้น เหมาะสำหรับเอาไว้ถ่ายรูปให้แฟน ให้สาว ๆ ที่เขายอมให้เราซื้อเครื่องนี้มาเล่นเกม


ปิดท้ายด้วยเรื่องของ Design ที่อาจจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ยังคงเอกลักษณ์ที่เห็นแค่ครู่เดียว ก็มองออกว่าเป็น iQOO แน่นอน อย่าง Module กล้องในรูปแบบสี่เหลี่ยมขอบมน แต่ได้เสริมไฟ Monster Halo Light ไฟ RGB ที่ช่วยเสริมอรรถรสเวลาเราเล่นเกม และยังใช้เป็นไฟแจ้งสถานะ สำหรับ Features อื่น ๆ ได้อีกด้วย

 
ราคาวางจำหน่าย iQOO 13 5G

- iQOO 13 5G : RAM 12GB + 256GB ราคา 27,900

- iQOO 13 5G : RAM 16GB + 512GB ราคา 30,900

ผ่านช่องทางการจำหน่าย ดังนี้ vivo Brandshop | vivo official website รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ผ่าน Shopee, Lazada, TikTok และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

อ่านรีวิวอื่นๆ ของ โมบายโฟโตกราฟเฟอร์

0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page