สวัสดีครับทุกคนแก้วจาก Mobile Photographer นะครับ รีวิววันนี้แก้วอยู่กับ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากทาง OPPO นั่นก็คือ OPPO Reno12 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนในระดับ Premium Midrange ในครึ่งหลังของปีนี้ 2024 นี้ จากทาง OPPO จุดเด่นของรุ่นนี้ คือ การปรับ Design กลับไปเป็น Iconic Reno Series ที่หลายคนคุ้นเคย ปรับ Hardware และ Software ตัวกล้องเล็กน้อย ปิดท้ายด้วยอาหารจานหลักของ OPPO AI ที่มีทั้งแบบ แก้ไขภาพ ไปจนถึง Generate ภาพขึ้นมาได้แล้ว ใช้จริงมาแล้ว 2 สัปดาห์ จะน่าสนใจแค่ไหน ? ไปดูรีวิวครับ
SPECIFICATION
Chipset : Mediatek Dimensity 7300 Energy
RAM 12GB LPDD4X + 512GB UFS 3.1 และรองรับ microSD Card 1TB
Display : 6.7-inch AMOLED | FHD+ | 1B colors | 120Hz | HDR10+
Operation system : ColorOS 14.1 | Android 14
Good quality stereo speaker
Bluetooth 5.4 | USB Type-C 2.0 | Wifi6
Battery 5000mAh | 80W SUPERVOOC ( PD 2.0 )
WHAT'S IN THE BOX : อุปกรณ์ภายในกล่อง
เครื่อง OPPO Reno12 Pro 5G
80W Adapter Charge | USB-C Cable
Protection Case Transparent
Protection Film
Sim Card Ejector
Manual Guide
DESIGN : การออกแบบ
ต้องบอกว่า OPPO Reno Series ในแต่ละ Generation นั้น มักจะมีการ Re-design ตัวเครื่องอยู่ตลอด ในชนิดที่ แต่ละปีแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้เราเห็นได้เลย ซึ่งหลาย ๆ คนก็อาจจะรู้สึกคิดถึง Iconic Design ในยุคแรกของ OPPO Reno Series
ทาง OPPO จึงได้หยิบ Design ที่มีความคลาสสิคแบบนี้ มาปัดฝุ่นใหม่ ปรับหลาย ๆ จุดให้ดูทันสมัยมากขึ้น เปลี่ยนวัสดุให้มีคุณภาพสูงขึ้น ดูหรูหรากว่าเดิม โดยที่สีตัวเครื่องที่แก้วนำมารีวิวให้ทุกคนได้ดูกัน ก็คือ สี Nebula Silver นะครับ
โดยตัวสี Base นั้นจะเป็นสีเงิน ที่มีความ Metallic สะท้อนแสง และมีลวดลายที่ดูหรูหราสวยงาม ผสมกับสีม่วงที่มีเฉดอ่อน ๆ จนทำให้เกิด Effect สีที่ดูแปลกตา เวลาเราเอาออกไปเจอแสงแดดภายนอก พลิกตัวเครื่องไปมา เราจะเห็นความเหลือบแสงสี ที่ดูมีเอกลักษณ์ดีครับ
อีกหนึ่งจุดเด่น ในด้านงานออกแบบตัวเครื่องของ OPPO Reno Series มาอย่างยาวนาน ก็คือ ความบาง และความเบา ซึ่ง OPPO Reno12 Pro 5G ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียงแค่ 181 กรัม และความบางเพียงแค่ 7.4 มม. เท่านั้น ทำให้การจับถือใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ จะทำได้สบายมือมาก ๆ
Frame ตัวเครื่องของ OPPO Reno12 Pro 5G ลักษณะจะเป็น Frame ที่มีความแบน หรือ Flat มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ชัดเจน เพื่อให้สอดรับกับรูปแบบหน้าจอที่เปลี่ยนไป ทำให้ Grip เวลาจับใช้งาน จะสามารถจับได้มั่นคงยิ่งขึ้น แต่วัสดุของเขาจะยังใช้เป็นพลาสติกอยู่นะครับ แต่ Build Quality ไว้ใจ หายห่วงได้ แถมยังได้ IP Rating อยู่ที่ IP65 ด้วยนะครับ
ด้านล่างของตัวเครื่องก็จะเป็นที่อยู่ของ Port USB-C | ถาดใส่ซิมแบบ Dual-Sim ที่รองรับ microSD Card ด้วย | ปิดท้ายด้วยช่องไมโครโฟน และช่องลำโพง ส่วนด้านบน ถือว่าให้มาครบเกินคาดนะ มีทั้ง ลำโพงอีกหนึ่งตัว ไมโครโฟนอีกหนึ่งตัว แถมมี IR Blaster มาให้ด้วยนะครับ ซึ่งหลาย ๆ แบรนด์ในสมาร์ทโฟนระดับกลาง ไม่ได้ให้ฟีเจอร์นี้มา
DISPLAY : หน้าจอแสดงผล
ทีนี้เราพลิกมาดูกันในด้านของหน้าจอกันบ้างนะครับ หน้าจอของ OPPO Reno12 Pro 5G จะมีขนาดอยู่ที่ 6.7 นิ้ว ขนาดใหญ่กำลังดี คนมือเล็ก ๆ ไม่ต้องเอื้อมนิ้วมากเวลาใช้งาน แต่จุดที่เด่นมากที่สุดในหน้าจอตัวนี้ ก็คือ จากแต่ก่อนที่เป็น Curved display หรือจอโค้ง ปัจจุบันทาง OPPO ได้เปลี่ยนมาเป็น Quad Curved Display แล้ว ทำให้ มีหน้าสัมผัสในการใช้งานมากขึ้น แต่ยังให้ฟีลลิ่งการใช้งานที่ Smooth ในสไตล์จอโค้งได้เหมือนเดิม
ค่า Pixel Density หน้าจอจะอยู่ที่ 394 PPI ความละเอียดหน้าจอ FHD+ เรื่องของคุณภาพการแสดงผลนั้น เราไว้ใจได้เหมือนเดิม ทั้ง Contrast สีสันต่าง ๆ ทำได้ดี การ Touch ที่ติดนิ้ว ร่วมกับ Animation ในการงานของ ColorOS 14.1 ที่มีความ Smooth อาจจะไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดมากนัก แต่อยู่ใน Speed ที่กำลังดี สำหรับคนทั่วไป
การรับชม Content Streaming จาก Platform ต่าง ๆ ก็แน่นอนว่า Spec จอขนาดนี้ สามารถที่จะดูได้ที่ความละเอียดสูงสุด ก็คือที่ 4K 60fps และรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ อีกด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น YouTube | Netflix | Prime Video รองรับการแสดงผลคุณภาพสูงหมดเลย
นอกจากนั้นใน OPPO Reno12 Pro 5G ก็จะมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการปรับแต่ง การแสดงผล Content HDR หน้าจอให้มีรายละเอียดที่ดีขึ้น สวยงามขึ้น ด้วย Bright HDR Video Mode ที่อยู่ใน O1 Ultra Vision Engine นั่นเองครับ
นอกจากนั้น ใครที่มีความจำเป็นต้อง ปรับแต่ง Color Profile ของหน้าจอ เพื่อใช้ในการทำงานต่าง ๆ ก็สามารถจะปรับแต่งได้ง่าย โดยจะมี Screen Color Mode พื้นฐานให้ทั้งหมด 3 โหมด ก็คือ Vivid , Natural , Pro modes ซึ่งใน Pro mode ก็จะแยกย่อยออกมาอีก เป็น Cinematic และ Brilliant ถ้าอยากได้ละเอียดกว่านั้น สามารถจะปรับ Screen Color Temperature ด้านล่างได้อีกด้วยครับ
รูปแบบการปลดล็อคหน้าจอ จะเป็น Under display optical fingerprint หรือการสแกนนิ้วใต้จอ แบบ Optical นั่นเอง ซึ่งมี Response ที่รวดเร็ว สแกนติดได้ง่าย ตำแหน่งในการจัดวาง อาจจะต่ำไปสักหน่อย ใครที่จับสมาร์ทโฟนสูง ๆ ต้องเอื้อมนิ้วลงมากดนิดหนึ่งนะครับ
ผ่านพ้นช่วง Summer ของประเทศไทยมาแล้วก็จริง แต่แดดก็ยังร้อนเหมือนเดิม ทำให้เรื่องความสว่างหน้าจอ สำคัญเหมือนเดิม OPPO Reno12 Pro 5G นั้น ให้ Peak brightness มาอยู่ที่ 1200nits ซึ่งพอเราเห็นตัวเลข ก็จะแอบรู้สึกว่า มันดูน้อย ๆ แต่เวลาใช้งานจริง ถ้าถือเทียบกับเรือบางตัว ก็ได้ความสว่างที่ใกล้เคียงกันครับ
CAMERA : กล้องถ่ายภาพ
แน่นอนว่าเป็น Smartphone จากทาง OPPO เรื่องกล้องของ Reno Series ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพื่อตอกย้ำความเป็น Portrait Expert ที่ในครั้งนี้มี OPPO AI เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ต้องมีการอัพเกรดตั้ง Hardware หรือ Software หลาย ๆ ส่วนขึ้นมาพอสมควร เราไปดู Spec กล้องกันครับ
Main Camera 50MP | f/1.8 | IMX890 | PDAF, OIS
Ultra Wide Angle 8MP | f/2.2 | IMX334 | 112 ํ | Fix-focus
Telephoto 2x 50MP | f/2.0 | ISOCELL JN5 | PDAF | Lossless 4x
Front Camera 50MP | f/2.0 | S5KJN5 | CDAF + PDAF | 21mm
นอกจากนั้น ใน OPPO Reno12 Series 5G ยังได้มีการใส่ OPPO AI เข้ามาให้เราใช้งานสำหรับการถ่ายภาพ และการตกแต่งภาพ กันในหลาย ๆ จุด ไม่ว่าจะเป็น ยางลบ AI ที่สามารถเลือกลบ สิ่งที่ไม่ต้องการในภาพได้อย่างแนบเนียน โดยจะใช้การเอานิ้ววงเพื่อเลือก
หรือจะใช้ คำสั่ง remove people ที่จะเป็นการลบคนอื่น ๆ ในภาพออกไปทั้งหมดเลย ในคลิกเดียว ต่อให้คนจะตัวเล็กแค่ไหน ซ่อนอยู่มุมไหนก็ภาพ AI ก็ Detect ได้เจอ และลบออกไปได้แนบเนียน ซึ่งแก้วได้ลองแล้ว ทั้งความแม่นยำในการตรวจจับ ไปจนถึง การใช้ AI Gen ส่วนที่ถูกลบออกไปกลับมา ทำได้น่าประทับใจ
และ อีกหนึ่งฟีเจอร์ AI ที่หลายคนน่าจะอยากลองใช้กัน ก็คือ AI Studio ที่จะเป็น AI Image Generator หรือ AI ที่สร้างสามารถสร้างภาพขึ้นมาได้ โดยเขาจะมี Template ให้เราเลือกใช้งานค่อนข้างเยอะมาก วิธีการใช้งานก็ไม่ยากเลย เมื่อเลือก Template ได้แล้ว ก็ให้เรา เลือกภาพถ่ายใบหน้าของเรา ที่เป็นหน้าตรง ในระยะใกล้สักหน่อยใส่เข้าไป
หลังจากนั้นก็กด Generate รอการประมวลผล ไม่เกิน 50 วินาทีโดยเฉลี่ย เราก็จะได้ภาพสนุก ๆ เอาไว้ไปแชร์กันแล้วครับ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาโหลดลง App แยก หรือ เสียเงินซื้อ Credit มาใช้ Generative AI อีกต่อไป เพราะใน OPPO Reno12 Series 5G มีมาให้ในเครื่องเลย
MAIN CAMERA : กล้องหลัก 50MP | IMX890
เรามาเริ่มดูภาพจากกล้องแต่ตัวกันเลยนะครับ โดยเริ่มกันที่กล้องหลัก ความละเอียด 50MP ที่ใช้ Sensor IMX890 ตัวนี้เป็นตัวแรกกันเลย Location ที่แก้ว พาน้องหนิงมาทดสอบกล้อง ใน Feel แบบ One day trip กันในวันนี้จะเป็น Siam Amazing Park หรือ สวนสยามที่ทุกคนรู้น่าจะคุ้นเคยกันดีนะครับ
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า ลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพของ OPPO Reno12 Pro 5G จะมีความแตกต่างจาก OPPO Reno ใน Generation ก่อนหน้านี้พอสมควร คือในรุ่นนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคงเน้นความสำเร็จรูป ความง่ายในการถ่ายเอาไว้เหมือนเดิม แต่ก็พยายามไม่ Process หนักจนเกินไป Boost สีสัน และความคมได้กำลังพอเหมาะ ดูเป็นธรรมชาติกว่าที่เคย
มีการเติม Sharpness เพื่อความคม เข้ามาในระดับที่กำลังพอดี และ Software Auto HDR ที่ไม่ได้พยายามขุด Detail ในส่วนต่าง ๆ มากนัก จะเน้นช่วยดึงรายละเอียดในส่วน Highlight กลับมา มากกว่าการพยายามขุดส่วนเงาขึ้นมาเยอะ จนภาพดูแบนนะครับ
ตัวคุณภาพไฟล์ในกล้องนี้ ถึงแม้ว่า Sensor IMX890 จะออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่นี่ก็เป็นหนึ่งใน Sensor ที่แก้วใช้งานบ่อย และไว้ใจได้ในแง่ Dynamic Range ของภาพ ให้รายละเอียดในแต่ละช่วงแสงได้สวย แม้เราจะไม่เปิด HDR ช่วยก็ตาม
รวมไปถึง Depth of field ของกล้องหลักตัวนี้ ก็สามารถถ่ายภาพละลายฉากหลังได้ง่าย มี Bokeh ที่สวย และระยะโฟกัสที่ค่อนข้างใกล้ใช้ในการถ่ายภาพ Macro ได้สบาย จะเอามาถ่ายดอกไม้ ถ่ายเครื่องประดับเล็ก ๆ อย่างนาฬิกาข้อมือก็ทำได้ดี
PORTRAIT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพบุคคล
เรามาต่อกันที่เรื่องของการถ่ายภาพ Portrait หรือว่าภาพบุคคลกันบ้างนะครับ ใน OPPO Reno12 Pro 5G เครื่องนี้ เราสามารถถ่ายภาพ Portrait ได้ใน 2 ระยะด้วยกัน ก็คือ 1x และ Telephoto 2x โดยที่จะมี เลนส์ Optical 2x มารองรับเลยนะ ไม่ใช่การ Crop on sensor เข้าไป
ซึ่งด้วยความที่ Sensor ในกล้อง Telephoto 2x ที่เขาให้มา ถือว่าค่อนข้างโอเคเลย ทำให้ภาพ Portrait เกือบทั้งหมดที่แก้วถ่าย จะมาจากระยะ 2x หมดเลย เพราะได้สัดส่วนตัวแบบที่สมจริง และมีระยะที่ Perfect สำหรับแก้ว ในการถ่ายภาพบุคคล
ตอนแรกที่แก้วได้ลองถ่าย Portrait ด้วย OPPO Reno12 Pro 5G เครื่องนี้สัก 3-4 รูปแบบ แก้วรู้สึกว่า ทำไมภาพที่ออกมา เขา Process ดูไม่ค่อยเป็นเหมือน Reno Series ที่แก้วคุ้นเคยสักเท่าไหร่ แต่รูปแบบการ Process จะไปมีความใกล้เคียง OPPO Find X7 Series ที่แก้วเคยทำรีวิวไปก่อนหน้านี้อยู่พอสมควรเลย
ตั้งแต่เรื่องของ Skintone ที่อาจจะไม่ได้ Boost ความสว่างผิว หรือสีสันให้มีความขาวอมชมพูเท่าแต่ก่อน แต่จะมาในสไตล์ที่ ให้ Skintone สีธรรมชาติ ที่มีความเรียบเนียน จากตัว Beauty Mode แทน ซึ่งสำหรับแก้วแล้ว แบบนี้แหละ มาถูกทางละ ถ่ายออกมาแล้วดูแพงดี
อีกจุดหนึ่งที่อยากให้ทุกคนสังเกตก็คือ ลักษณะในการ Simulation Depth of field หรือการใช้ Software ละลายฉากหลัง ตัวเม็ด Bokeh ก็จะมีการ Process ที่เปลี่ยนไปเช่นกัน Shape ของ Bokeh จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตำแหน่งของ Bokeh ก็ดูสมจริงมากกว่าเดิม
เวลาที่เราวาง Frame ภาพให้เห็นระยะของฉากหลังไกล ๆ ตัว Software Bokeh ก็จะมีการไล่ระดับที่ค่อนข้างสวยมากทีเดียว ความแม่นยำในการตัดขอบ ตอนนี้แก้วให้สัก 90% อาจจะมีบางจังหวะที่ ฉากหลังรกมา แล้วตัดพลาดให้เห็นได้บ้าง ซึ่งก็ใช้ ตัวยางลบ AI มาแก้ไขทีหลังได้ไม่ยาก
แล้วก็ เวลาเราถ่ายภาพ Portrait แบบย้อนแสง ตัว Software Auto HDR ยังช่วยทำงานในการ เปิดรายละเอียดในส่วนใบหน้าตัวแบบ และเฉลี่ยความสว่างของฉากหลัง ออกมาได้กำลังดี ใครที่ชอบถ่าย Portrait แบบย้อนแสงจุดนี้วางใจได้ ไม่ต้องกลัวหน้ามืดนะครับ
พวกลูกเล่นเสริมอย่าง Bokeh Flare Portrait ที่จะทำให้ตัวเม็ด Bokeh ในฉากหลังขยายใหญ่ขึ้นมาก ๆ ก็ยังมีมาให้
หรือจะเป็น AI Color Portrait ที่จะเป็นการดูดสีฉากหลังออกไป คงไว้แต่สีสันของตัวแบบก็มีให้เหมือนเคย และก็ใช้งานได้ดีครับ
TELEPHOTO 2x : กล้องเทเลโฟโต้ระยะกลาง 50MP | JN5
กล้อง Telephoto 2x ตัวนี้ นอกจากจะใช้ในการถ่ายภาพ Portrait ได้ค่อนข้างดีแล้วเนี่ย เรายังสามารถนำมาใช้ในการถ่ายภาพ รูปแบบอื่น ๆ ได้ค่อนข้างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น ด้วยความที่ ระยะโฟกัสใกล้สุดของกล้องตัวนี้ ค่อนข้างใกล้กว่า Telephoto 2x ในสมาร์ทโฟนระดับกลางหลาย ๆ ตัว เราเลยสามารถ นำมาถ่ายของชิ้นเล็ก ๆ ในระยะห่างสัก 1 ฟุตได้ แถมมี Depth of field เกิดขึ้นแล้วด้วยนะครับ
หรือ ใครที่ชอบถ่ายภาพทิวทัศน์ ถ่ายภาพงานสถาปัตยกรรม ก็สามารถ จะนำกล้อง Telephoto 2x ตัวนี้ ไปใช้ได้เช่นเดียวกัน ให้คุณภาพไฟล์ที่ดีน้อง ๆ กล้องหลัก ตัว Software ในการวัดแสง , White Balance ไปจนถึงสีสันของภาพ ทำออกมาได้ใกล้เคียงตัวกล้องหลักเลย
ระยะ Lossless Zoom ที่กล้อง Telephoto 2x ตัวนี้สามารถใช้งานได้แบบไม่รู้สึกขัดเขิน ก็จะอยู่ที่ประมาณ 4x - 5x ไม่เกินนี้นะครับ เพราะถ้า Zoom เข้าไปมากกว่าระยะนี้ ภาพที่ได้จะเริ่มสูญเสียรายละเอียดให้เราเห็นได้ชัดเจนแล้ว
ULTRA WIDE ANGLE : กล้องมุมกว้าง 8MP | FOV 112˚ | IMX334
มากันที่กล้อง Ultra Wide Angle กันบ้างนะครับ นี่น่าจะเป็นกล้องตัวเดียว ใน Setup กล้องทั้งหมด ที่แก้วรู้สึกว่า ให้มาน้อยเกินไปแล้วจริง ๆ ในยุคนี้ อย่างน้อย ๆ ที่เราอยากให้สำหรับ Midrange ที่ราคาเกิน 15,000 ขึ้นมา ก็คือ Ultra Wide Angle 50MP แล้ว
และ องศาในการรับภาพของกล้อง Ultra Wide Angle ตัวนี้ ก็ไม่ได้กว้างอะไรมากมายนัก อยู่ที่ 112 ํ เท่านั้น ซึ่งมันก็มีดี มีเสียแหละ เวลาองศารับภาพไม่กว้างมาก ก็จัด Frame ภาพ จัดองค์ประกอบง่าย แต่พอมันแคบไป ถ้าเราจะถ่ายอาคารสวย ๆ สักหลังให้ครบใน Shot เดียว ก็อาจจะต้องเดินถอยหลังกันไกลหน่อย
ในแง่ของคุณภาพไฟล์ของกล้อง Ultra Wide Angle 8MP ตัวนี้ ต้องบอกว่าก็ตามสไตล์ Ultra Wide Angle 8MP ที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละครับ ถ้าถ่ายในช่วงกลางวัน ที่แสงดี ๆ คุณภาพไฟล์ก็จะโอเค Software Auto HDR ช่วยขยาย Dynamic Range ในกล้องตัวนี้ได้ดี
แต่เวลาถ่ายภาพย้อนแสงอาจจะต้องระวังไว้นิดหนึ่ง ในบางจังหวะ ตอนที่ Auto HDR ทำงาน ถ้าในภาพมีส่วนเงาค่อนข้างเยอะ เวลาเขาขุดรายละเอียดในส่วนนั้นขึ้นมาให้เรา อาจจะพา Noise หรือจุดรบกวนตามมาด้วยได้ เราอาจจะแก้ด้วยกัน ชดเชยแสงบวกขึ้น ด้วยตัวเองแทนไปก็ได้ครับ
การจัดการ Distortion หรือการบิดเบี้ยวของภาพ ทำมาได้ดี พวก Chromatic Abberation การเจอขอบเขียว ขอบม่วง เวลาที่เราถ่ายภาพย้อนแสงก็ไม่มีเลย เรื่องพวกนี้ปล่อยผ่านได้ไม่มีปัญหาอะไรครับ
FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 50MP
ทีนี้เราพลิกมาดูภาพนิ่งในกล้องหน้ากันบ้างดีกว่านะครับ สำหรับกล้องหน้าของ OPPO Reno12 Pro 5G เครื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องนี้เลยะ เพราะเราได้ Sensor ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ 1/2.75" ซึ่งนั่นก็คือ S5KJN5 ที่มีค่ารูรับแสงของกล้องหน้า ที่กว้างถึง f/2.0 และ Focal length กว้าง 21mm ซึ่งถือว่ากว้างเป็นอันดับต้น ๆ ของสมาร์ทโฟนระดับกลางในปีนี้เลย
นอกจากนั้น กล้องหน้าตัวนี้ที่มี ระบบ Autofocus แบบ PDAF มาให้ด้วย ซึ่งเรือธงหลาย ๆ ตัวในปีนี้ ก็ไม่ได้ให้อะไรแบบนี้มา ทำให้คนที่ชอบทำ Content ด้วยกล้องหน้า อาจจะเป็นการถ่าย Review สินค้าสั้น ๆ ลง Reels ลง Tiktok สามารถใช้ประโยชน์จาก Autofocus ที่มีมาให้ได้ดีเลย
การเอากล้องหน้าตัวนี้ Selfie ออกมา จะให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างจาก Mode Portrait ในกล้องหลังอยู่เล็กน้อย ก็คือ Skintone ในกล้องหน้า จะสว่างกว่า ขาวอมชมพูกว่า และมีการ Boost สีสันขึ้นมามากกว่าพอสมควร ถ้าใครรู้สึกว่ามันมากไป เราสามารถปรับลด Beauty Mode ลงมาได้อีกนะครับ
การละลายฉากหลังเวลาเรา Selfie ในเรื่องของความแม่นยำในการตัดขอบ ทำได้ดีพอ ๆ กับ Mode Portrait ในกล้องหลังเลย เก็บปลายผมได้ดีใช้ได้ แต่เรื่องการไล่ระดับของการเบลอนั้น อาจจะไม่ได้ดูเป็นธรรมชาติเท่ากล้องหลังนะครับ
เวลา Selfie แบบย้อนแสงก็หน้าไม่มืดนะ เพราะใน กล้องหน้าก็มี Software Auto HDR มาช่วยเราในเรื่องนี้เช่นกันครับ
LOW LIGHT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
เรามาต่อกันที่ Low Light Photography หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อยกันนะครับ เราสามารถใช้งาน Night Mode ได้ในกล้องทุกตัวเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ไปจนถึงกล้องหน้า มี Filter สีสันสวย ๆ เอามาไว้เป็นลูกเล่นให้กับ Night Mode มาให้ด้วย
ลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพของ Night Mode ก็จะเป็น เพิ่มความคมของภาพด้วยการเติม Sharpness และ Clarity ไปจนถึง Boost สีสันของภาพขึ้นมาพอสมควร มีการทำ Noise Reduction ที่ค่อนข้างจะหนัก
คือ ภาพที่ได้เขาจะเน้นไปที่ความใส และความสว่างเป็นหลักเลย อาจจะต้องยอมแลกกับรายละเอียดส่วน พื้นผิวที่หายไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่ากล้องหลัก จะเป็นกล้องที่คุณภาพไฟล์ ในการถ่ายภาพช่วงกลางคืนออกมาดีที่สุดอยู่แล้ว
แต่ที่ Surprise คือ กล้อง Telephoto 2x เอามาใช้ในการถ่ายภาพช่วงแสงน้อยได้ดีเกินคาดเลยสำหรับแก้ว ทั้งการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป และการนำมาถ่ายภาพ Portrait ก็ตาม
เวลาแสงไฟประดับช่วงค่ำเปิดขึ้นมา Bokeh ที่เกิดขึ้นทำได้สวยทีเดียว คงความเป็นธรรมชาติของ Bokeh ที่สวยกำลังดี และถึงแม้แสงจะน้อยลง แต่การตัดขอบละลายฉากหลังก็ยังแม่นยำเหมือนเดิมเลยครับ
VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ
ดูการถ่ายภาพนิ่งกันไปครบถ้วนแล้ว เรามาดูการถ่าย Video กันบ้างดีกว่านะครับ สำหรับการถ่าย Video ใน OPPO Reno12 Pro 5G เครื่องนี้ Resolution สูงสุดที่ถ่ายได้จะอยู่ที่ 4K 30fps ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ในกล้องหลัก กล้อง Telephoto 2x และกล้องหน้านะครับ ถ้าเราอยากใช้กล้อง Ultra Wide Angle ในการถ่าย Video จะได้แค่ 1080 30fps เท่านั้น ด้วยข้อจำกัดของ Hardware กล้อง
Dynamic Range ของไฟล์ Video ในกล้องหลัก กล้อง Telephoto 2x ถือว่าทำได้โอเคเลย มี Detail รายละเอียดในแต่ละช่วงความสว่างที่ดี และสีสันของ Video ก็ค่อนข้างสดใสใช้ได้ การวัดแสง และ Auto White Balance ใน Mode วีดีโอก็แม่นยำดีเลย ไม่วูบวาบ
โดย Bitrate ของตัว Video 4K 30fps จะอยู่ที่ 40mbps ทั้งกล้องหลัง และกล้องหน้า ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ไฟล์เอาไปใช้งานต่อได้จริง อาจจะมี Detail ที่น้อยกว่าเรือธงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าอะไรมากมายนัก
แต่จุดที่แก้วรู้สึกว่า อยากให้ทำได้ดีมากกว่านี้ก็คือ การกันสั่น Video 4K 30fps ในกล้องหลัง คือ ถ้าเราใช้การแพนกล้องไปมา หรือ จับกล้องเอาไว้เฉย ๆ เพื่อถือถ่าย มันออกมาโอเคมากนะ นิ่งใช้ได้เลย แต่ถ้าเราต้องเริ่มเดินไปถ่ายไป หรือ ต้องจับสมาร์ทโฟนด้วยมือข้างเดียวขณะถ่าย กันสั่นตัวนี้ ใน Resolution 4K 30fps อาจจะไม่ได้ให้ภาพที่นิ่งขนาดนั้น ต้องจับให้มั่นคงด้วย 2 มือ
PERFORMANCE : ประสิทธิภาพ
ต้องบอกว่า ใครที่คาดหวังความแรงของ SoC หรือ Chipset จาก OPPO Reno12 Pro 5G อาจจะต้องลดความคาดหวังลงสักหน่อย เพราะตัว Dimensity 7300 Energy ก็ตามชื่อของเขาเลยครับ ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เน้น efficiency ในการประหยัดพลังงาน
ถ้าเราเอาคะแนนมาเปรียบเทียบกัน กับ Snapdragon 7 Gen 3 ที่เป็น SoC ของสมาร์ทโฟนระดับกลางเหมือนกัน จะเห็นว่า Dimensity 7300 Energy ตัวนี้ จะมี Overall performance ที่น้อยกว่านิดหน่อยเท่านั้น ก็คือประมาณ 10% แต่จะทดแทนด้วยเรื่องของการประหยัดพลังงานแทน
สำหรับการใช้งานแบบ Daily use ทั่วไป Dimensity 7300 Energy ตัวนี้ เพียงพอไหม ก็ต้องบอกว่า เหลือ ๆ เลยครับ สำหรับการใช้งาน Social Media , ดู Content Streaming ใช้ Application ในการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหลไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเราเอาไปเล่นเกม โดยเฉพาะเกมที่ Graphic ค่อนข้างสูง อย่างเกมที่แก้วเล่นอยู่ และนำมาทดสอบก็จะเป็น Tarisland โดย Engine ของเกม จะเป็น Unreal Engine ซึ่งใช้ทรัพยากรเครื่องพอสมควรในการเล่น ซึ่ง OPPO Reno12 Pro 5G ก็สามารถเล่นได้ โดยใช้ Setting ประมาณ กลาง ๆ ลด Effect บางอย่างลงไปบ้าง เพื่อคง Frame Rate 60fps เอาไว้ให้ได้
ส่วนในเรื่องของ Battery life และ SOT อย่างที่แก้วบอกไปตอนแรกว่า ถึงแม้จะแรงไม่เท่าคนอื่น แต่ Dimensity 7300 Energy ตัวนี้ ประหยัดพลังงานของจริง โดย มีวันหนึ่งที่แก้วลองสายชาร์จออกตั้งแต่ตอนตี 2 สามารถใช้งานข้ามไปได้จนถึง 2 ทุ่มของอีกหนึ่งวัน โดยที่ใส่ Sim 5G เอาไว้ 2 Sim ด้วยนะครับ
OVERVIEW & OPINION
สำหรับแก้วแล้ว OPPO Reno12 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟน Premium Midrange ที่วางตัวเองเป็น Lifestyle Phone ผสมผสาน AI มีการใช้งานที่ลื่นไหลเพียงพอสำหรับในทุก ๆ ด้าน และมีกล้องถ่ายภาพที่ยังถ่ายภาพ Portrait ได้สนุกเหมือนเคย และเสริมพลังความน่าสนใจด้วย OPPO AI ที่ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบกว่าเดิม ตั้งแต่ลบสิ่งที่ไม่ต้องการ ไปจนถึงสร้างภาพใหม่ขึ้นมาเลยก็ยังได้
การออกแบบตัวเครื่อง หยิบ Iconic Design ของ OPPO Reno ในยุคก่อน มาปัดฝุ่นปรับปรุงใหม่ ให้มีความสดใหม่ และทันสมัยมากขึ้น เลือกใช้วัสดุที่มีความหรูหรากว่าเดิม สีตัวเครื่องที่แก้วนำมารีวิวอย่างสี Nebula Silver ตัวแรกคิดว่าจะเหมาะกับแค่สาว ๆ แต่พอเราใช้เองทุกวัน ก็รู้สึกว่า สีนี้ก็ Unisex ดีใช้ได้
หน้าจอที่เปลี่ยนรูปแบบจากจอโค้งตามปกติ มาเป็น Quad-Curved Display ขนาด 6.7 นิ้วกำลังพอดีมือ ที่จะมีความโค้งทั้ง 4 ด้านเลย ช่วยให้หน้าสัมผัสในการใช้งานมีมากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความสวยงาม ความหรูหรา ของสมาร์ทโฟนจอโค้งเอาไว้ได้เหมือนเดิม
ตัวกล้องถ่ายภาพ ถึงแม้อาจจะยังเลือกใช้ Sensor ที่ไม่ได้ใหม่มากนัก แต่เป็น Sensor ตัวหนึ่งที่ สมาร์ทโฟนจากทาง OPPO จูนออกมาได้เสถียรมากแล้ว ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการวัดแสง หรือ White Balance ให้กวนใจ มีความ Reliable และยังคงได้ฟีเจอร์ในการถ่ายภาพ Portrait และการถ่าย Video 4K มาแบบครบครันเหมือนเคย
ปิดท้ายด้วย OPPO AI ที่มีความสามารถหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ ลบคนในภาพออกไปได้ทีเดียวพร้อมกันได้ทั้งหมด ด้วยการแตะหน้าจอแค่ไม่กี่ครั้ง ตัว Software AI ที่ช่วยให้การถ่ายภาพ Portrait และ Selfie มี Skintone ที่สวยงาม ไปจนถึง Generative AI ที่เราสามารถใช้ AI สร้างภาพขึ้นมาจาก Template มากมาย มีให้เล่นกันเต็มที่ ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อจาก App อื่นภายหลัง
ราคา และช่องทางการจัดจำหน่าย OPPO Reno12 Series 5G
OPPO Reno12 Pro 5G 12GB+512GB ราคา 19,999 บาท
#ยางลบAIลบภาพเนียนในคลิกเดียว #ก้าวไปอีกขั้นกับOPPOAI
[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]
IG : kaew.ravie
Comentarios