สวัสดีครับเพื่อนๆ โมบายโฟโตกราฟเฟอร์ทุกคน วันนี้แก้วยังอยู่กับ #VivoTWSEarphoneNeo นะครับ แต่ครั้งนี้เป็น Full Review หลังจากที่ได้ใช้งานต่อเนื่องมา 4 วัน ในหลายๆ โอกาส มาดูกันว่า แก้วประทับใจอะไรกับมันบ้าง ? น่าใช้ไหม ในราคา 2,999 บาท
ต้องบอกทุกคนก่อนว่า ตัวแก้วเองผ่านการใช้ Earphone ลักษณะแบบนี้มาหลายแบรนด์ ตั้งแต่หลักร้อย จนถึง หมื่น ผ่านการใช้งานมาหมดละ แยกออกได้แน่นอน
โดย Review ครั้งนี้แก้วจะใช้มันตลอดทั้งวัน ในชีวิตประจำวันไปเลย เพื่อลองดูว่า ประสบการณ์การใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ เป็นยังไง
มาเริ่มกันที่ Package ของ Vivo TWS Earphone Neo นี้ก่อนเลยนะครับ เป็นกล่องกระดาษขนาดไม่ได้ใหญ่มาก สีที่แก้วได้มาจะเป็นสี Starry Blue หรือสีน้ำเงินเข้ม ส่องประกาย
ส่วนตัวชอบสีนี้มากกว่าสีขาว ยิ่งมาวางคู่กับ Vivo V19 สีดำ ด้วยแล้วยิ่งดูหล่อ แต่ไม่ใช่สีขาวไม่สวยนะครับ อยู่ที่ความชอบละแหละ
เปิดฝากล่องขึ้นมาก็จะมีตัว Case ของหูฟัง ที่ Case จะมีปุ่ม Power ไว้ เปิด-ปิด หูฟังนะครับ และ พอเรายกส่วนของที่วางเคสขึ้นก็จะเจอสายชาร์ทถูกม้วนเอาไว้ด้านล่างครับ
เอาล่ะครับ มาเริ่ม Test กันเลยดีกว่า Situation หรือสถานการณ์ ที่แก้วจะทำการ Test จะมีด้วยกัน 3 สถานการณ์ ดังนี้ครับ
1. ต่อกับ Smartphone นั่งทำงานอยู่ภายในบ้าน
2. ต่อกับ PC เล่นเกมในห้อง
3. ต่อกับ Smartphone ใช้งานนอกบ้าน และอยู่บนรถ
1. นั่งทำงานอยู่ในบ้าน
เวลาทำงานแก้วจะเปิดเพลงควบคู่กันไปด้วยเสมอ เสียงที่เปิดก็จะเป็น R&B , Jazz for work เป็นจังหวะเบาๆ ผ่อนคลายที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงาน คุณภาพเสียงกับเพลงพวกนี้ Vivo TWS Neo สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว Driver ที่ใหญ่ขนาด 14.2mm และเทคโนโลยี DeepX ทำให้เสียงทุกย่าน มีความชัดเจน สมจริง
และ ในบางครั้งภายในบ้านเนี่ย จะมีคนเดินไปเดินมาอยู่เรื่อยๆ บางครั้งจะได้ยินเสียงลอดผ่านเข้ามาบ้าง เพราะว่า ไม่ใช่ In-Ear อะเนาะ มันมีโอกาส แต่ไม่ได้ดังชัดขนาดนั้นนะ แล้วก็เพราะมันไม่ใช่ In-Ear นี่แหละ ที่บางครั้งเวลาคนอยากแบบ ใส่หูฟังแล้วหลุดไปในโลกของเสียงดนตรีเลย มันอาจจะไม่ใช่ขนาดนั้น แต่ไม่ใช่เสียงมันไม่ดีนะครับ ต้องแยก 2 เรื่องนี้จากกัน
อีกอย่างคือ น้ำหนักที่เบาครับ (4.7 กรัม / ต่อข้าง) ทุกครั้งที่นั่งทำงานมักจะต่ำกว่า 2-3 ชม. นั่นทำให้การใช้หูฟังที่มีน้ำหนักเบา จะเหมาะสมกับสถานการณ์นี้มากๆ
2. เชื่อมต่อกับ PC เพื่อเล่นเกม
ทำงานกันมานาน หาเวลาพักสมองสักเล็กน้อยครับด้วยการเอามาต่อกับ PC เพื่อที่จะเอามาใช้เล่นเกม สิ่งหนึ่งที่เป็นอีกจุดที่แก้วชอบ ใน Vivo TWS Earphone คือ การ Connect ที่แบบเร็วมากๆ ในทุก Device
แค่เปิดฝาขึ้นมาแบบนี้ แล้วนับเลข 1 2 3 . . . 6 วินาที หูฟังก็เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์เรียบร้อย (ถ้ากับมือถือ Vivo เองด้วยเนี่ยไวกว่านี้อีกนะครับ) เป็นแบบนี้ได้ก็คงเพราะ Bluetooth 5.2 นี่แหละ
ไม่ใช่แค่เชื่อมต่อเร็วนะครับ ทั้งคุณภาพเสียง มิติของเสียงซ้ายขวา ก็ทำออกมาได้ดี ยิ่งถ้าห้องเงียบๆ จะดีมากเลย การ Delay หรือว่าการ Lag เนี่ยไม่มีเลยครับ Latency แค่ 88ms ซึ่งถือว่าต่ำ มากๆ ไว้ใจได้ วันนั้นทั้งวัน Headphone ที่แก้วมีในภาพ แขวนทิ้งไว้เลยครับ ใช้ Vivo TWS Neo ไปยาวๆ
อีกข้อที่น่าสนใจครับ เราใช้งานหูฟังนี้ต่อเนื่องกันนานๆ จะเป็นยังไง ในสเป็คบอกไว้ว่า ถ้าเราใช้งานต่อเนื่อง โดยที่เอาไว้ใน Case เสมอ หรือคอยเติมไฟใน Case เนี่ย จะสามารถใช้งานได้ 22.5 ชม. จนแบตหมด ทั้งหูฟังทั้งเคส (ความจุไฟ : หูฟัง 27 mAh , Case 400 mAh)
เมื่อลอง Test ด้วยการเปิดเสียงดังสุด และใช้งานต่อเนื่องต่อการ ชาร์จ 100% ที่หูฟัง 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้ประมาณ 3 ชั่วโมงกับอีก 42 นาที คิดว่าถ้าลดเสียงลง น่าจะใช้ได้นานขึ้นกว่านี้นะครับ
3. เชื่อมต่อ Smartphone ใช้งานนอกบ้าน สนทนาบนรถ
แก้วใส่เจ้า Vivo TWS Neo ออกจากบ้านขับรถเพื่อจะไปคุยกับลูกค้า เรื่องความเบายังส่งให้รู้สึกประทับใจกับมันอยู่นะครับ เหมือนแปะอะไรติดหูไว้ แต่แทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักเลย เหมาะกับการ Standby รับสายโทรศัพท์ หรือคุยงาน
แน่นอนว่าเมื่อมีสายเข้า ก็สามารถที่จะเอานิ้วแตะรับสาย ที่ตัวก้านหูฟังได้ทันที หรือแม้แต่ เพิ่ม - ลด เสียงก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการนิ้วเลื่อนขึ้น หรือ เลื่อนลงที่ตรงหูฟังครับ สะดวกมากๆ
อีกข้อคือเรื่องของ AI Noise Cancelling หรือการตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา อันนี้ลองถามจากคนที่แก้วคุยด้วย เขาก็บอกว่าได้ยินเสียงชัดเจนดีครับ ถึงแม้ว่าจะเปิดแอร์เป่าหน้า ผมปลิว ก็สามารถลดเสียงเหล่านั้นลงได้ แต่ . . .
ในมุมของผู้สวมใส่หูฟังเอง ด้วยความที่หูฟังไม่ใช่ In-Ear อะเนาะ มันได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาอยู่ดีครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น อยู่ที่ศรีระของใบหูแต่ละคนด้วยนะครับว่าจะสามารถใส่เข้าไปได้พอดีขนาดไหน บางคนช่องตรงหูเล็ก ก็อาจจะแนบสนิทปิดพอดีเลยได้เหมือนกัน
สำหรับแก้วแล้ว Vivo TWS Earphone Neo มันอาจไม่ได้ ปิดกั้นเราจากเสียงภายนอก แล้วพาคุณเข้าสู่โลกของดนตรีได้ดื่มด่ำสุดๆ แบบหูฟัง In-Ear แต่ว่า . . .
เทคโนโลยีในเรื่องของการเชื่อมต่อ เทคโนโลยีเสริมคุณภาพเสียงที่ได้ รวมไปถึงฟีเจอร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Noise Cancelling การแตะเพื่อ รับสบาย หรือเพิ่มลดเสียง ทำให้มันน่าใช้ขึ้นสำหรับคนที่อยากได้ตัวเดียวจบ ใช้ได้ทุกโอกาส ไม่มีติดขัด Spec ขนาดนี้ ในราคา 2,999 บาท ถือว่าราคาดีเลยนะ อยากให้ทุกคนได้ไปลองด้วยตัวเอง เชื่อว่าหลายคนต้องชอบแน่ๆ
[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]
IG : kaew.ravie