top of page
รูปภาพนักเขียนแอดมินแก้ว

เที่ยวลาว 4 วัน 3 เมือง กับ vivo V25 Pro 5G

สวัสดีครับทุกคน กลับมาเจอกันอีกแล้ว วันนี้แก้วอยู่กับ vivo V25 Pro 5G โดยที่แก้วจะเอามือถือเครื่องนี้ไปออกทริปถ่ายภาพที่ประเทศลาวกันครับ จาก Plan ที่ตั้งเอาไว้ เราจะไปกันทั้งหมด 3 เมือง ได้แก่ หลวงพระบาง , วังเวียง , เวียงจันทร์ เดี๋ยวเรามาดูกันว่าพลังกล้องของ vivo V25 Pro 5G เครื่องนี้ จะทำให้เราได้ภาพสวย ๆ มาได้ง่ายขนาดไหน ไปชมกันเลยครับ

การเดินทางไปลาวของแก้วในครั้งนี้นั้น แก้วจะนั่งไฟแบบตู้นอนชั้น 2 ไปที่จังหวัดหนองคายก่อน เพราะเราจะไปข้ามแดนกันที่นั่นนะครับ จะใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง ในกรณีที่ไม่เลท ครั้งนี้แก้วมาขึ้นรถไฟที่ สถานีรถไฟฟ้าจังหวัดสระบุรี

โดยทุกคนสามารถตรวจสอบราคาค่าโดยสารได้จากตารางด้านล่างนี้ได้เลยครับ

บรรยากาศภายในรถไฟนั้นก็ค่อนข้างกว้างขวางครับ เก้าอี้นั่งสามารถที่จะปรับ Position ให้เป็นเตียงนอนได้ โดยที่ต่อหนึ่ง Slot จะมีเตียงบน เตียงล่าง ถ้าอ้างอิงตามราคา เตียงบนจะถูกกว่าเตียงล่างประมาณ 10% ได้ครับ

อย่างตัวแก้วเองครั้งนี้ ได้นอนเตียงบนเหมือนเดิม ความรู้สึกก็คือ แอบจะรู้สึก อึดอัดนิดหน่อย เมื่อเทียบกับเตียงล่าง และ ไม่มีกระจกที่ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวก ถือว่ามีให้ค่อนข้างครบครับ ทั้งปลั๊กไฟบ้าน ไฟอ่านหนังสือ ม่านบังแสง ที่วางของ กับราคาตั๋วไม่ถึง 1000 ก็โอเคแล้วครับ

หลังจากเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ จังหวัดหนองคาย ในเช้าวันถัดมา ก็พบว่า เหมือนตัวเองจะพาฝนมาด้วย ฟ้าครึ้ม เมฆแน่น มาเลย ที่นี่แก้วจะพักกินข้าวที่ร้านแถว ๆ สถานีรถไฟก่อน หลังจากนั้นก็จะไปผ่านด้านตรวจคนเข้าเมืองกัน

สิ่งที่เราจะต้องเตรียมสำหรับการผ่านแดน ก็ตามสไตล์การเดินทางไปต่างประเทศแบบปกตินั่นแหละครับ Passport และ เอกสารยืนยันการจองที่พักเผื่อเอาไว้ แต่ด่านฝั่งลาว ไม่ค่อยเข้มกับคนไทยเท่าไหร่ครับ

พอผ่านด่านตรวจเสร็จแล้ว เราก็จะนั่งรถข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ไปยังเวียงจันทร์กันครับ

สถานที่แรกที่แก้วมาใน Trip นี้ก็คือ พระธาตุหลวง เวียงจันทน์ ด้วยความที่เพิ่งจะเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ไม่กี่เดือน บวกกับว่า ไม่ใช่ High Season ทำให้คนภายในตัววัดนั้น ไม่ได้เยอะมากครับ

เข้ามาด้านในเดินหามุมอยู่พักใหญ่ ๆ จนมาเจอมุมนี้ ภาพนี้แก้วถ่ายด้วย RAW File ของ vivo V25 Pro 5G ในกล้องหลัก เพราะว่าท้องฟ้าที่เมฆแน่น ๆ แบบนี้ ถ้าถ่ายด้วย Mode Auto ส่วน Highlight น่าจะจมพอสมควร ซึ่งก็อย่างที่คิดครับ RAW File ช่วยแก้วได้มากเลย ดึงรายละเอียดของส่วนก้อนเมฆ กลับมาได้ค่อนข้างครบมาก ๆ

อีกหนึ่งเรื่องที่หลาย ๆ คน อาจจะยังไม่รู้ก็คือ RAW File ใน vivo V25 Pro 5G นั้น เราถ่ายในกล้อง Ultra Wide Angle ได้ด้วยนะครับ แถมถ้าเป็นคนที่ Process ไฟล์ภาพเป็น คุณภาพไฟล์ที่ได้ ก็ยืดหยุ่น ไม่แพ้กับกล้องหลักเลย ดึกรายละเอียดในส่วนท้องฟ้ากลับมาได้ดีมาก ๆ

สถานที่ต่อไปที่แก้วจะไปถ่ายรูปในเวียงจันทน์นั้นก็คือ ประตูชัยเวียงจันทน์นั่นเองครับ จากที่ตรงพระธาตุคนไม่เยอะ พอมาเป็นที่ประตูชัย คนเยอะม๊าก ทั้งคนลาวเอง นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา ๆ ก็มากันเพียบเลย และก็แน่นอนว่า แก้วก็ยังใช้ RAW File ในการถ่ายภาพอยู่ดี เพราะเมฆแน่นเหมือนเดิม

พอเห็นคนเยอะ ๆ แบบนี้แก้วก็เลยเดินตระเวนหามุมถ่ายอยู่พักหนึ่ง จนไปเจอ พุ่มดอกไม้สีสด ๆ ตรงนี้ ก็เลยจัดวางไว้เป็น Foreground ใช้บังสิ่งที่เรารู้สึกว่าทำให้ภาพมันรกออกไป โดยที่ครั้งนี้แก้วจะใช้ Mode Pro ในการถ่าย แต่จะถ่ายมาเป็น JPEG นะครับ เพราะว่า ระยะนี้ต้อง Crop Zoom 2x ซึ่ง RAW ทำไม่ได้

หลังจากถ่ายภาพสถานที่ที่เป็น Iconic place ของเวียงจันทน์ไปครบเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางไปที่ หลวงพระบางกันต่อแล้วครับ โดยแก้วจะเดินทางด้วยไฟความเร็วสูง ลาว-จีน ตอนมาถึงสถานีครั้งแรก ก็ตื่นเต้นประมาณหนึ่งเหมือนกันนะ สถานีใหญ่พอสมควรเลย

นี่คือหน้าตาของตั๋วรถไฟครับ ใบใหญ่กว่าตั๋วรถไฟไทยอยู่พอสมควร เวลานายสถานีเช็คตั๋ว ก็จะยิง QR Code ที่อยู่บนตั๋วนั่นแหละครับ สำหรับราคาของตั๋วรถไฟ จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 ราคา ก็คือ ชั้น 1 ราคา 7xx บาท และ ชั้น 2 ราคา 5xx บาท โดยส่วนตัวแล้ว แก้วแนะนำให้ซื้อกับทัวร์จากทางฝั่งไทย หรือ ทัวร์ที่ฝั่ง Local ก็ได้ แต่ควรจะล่วงหน้า 1 เดือนเป็นอย่างต่ำ เพราะเต็มตลอด ต่อคิวนานมากครับ

บรรยากาศภายในรถไฟนั้นต้องบอกว่า ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียวครับ โปร่ง โล่ง สบาย เวลารถเดินก็เดินได้เงียบ ไม่สะเทือนมาก ที่เก็บสัมภาระเป็นระเบียบ เบาะนั่งตัวใหญ่ ไม่นุ่มมาก แต่นั่งสบาย ความเร็วสูงสุดของรถไฟสายนี้อยู่ที่ 160 km/h ใช้เวลาเดินทางไปหลวงพระบาง 2 ชั่วโมง

พื้นที่ของแต่ละที่นั่งก็คือ กว้างขวางมาก ๆ เหยียดขาได้สุด มีกระเป๋าใส่ของ ตะขอสำหรับห้อยกระเป๋า ช่องสำหรับเสียบปลั๊กไฟ ก็มีมาให้ แก้วแอบลองเสียบดูแล้ว Fast Charge ขึ้นหมด กำลังไฟที่จ่าย เท่าไฟบ้านเลย

จุดที่น่าประทับใจ ก็คงจะไม่พ้นเรื่องของ วิวสองข้างทาง ที่แบบมันสวย มาก ๆ ในบางช่วงที่เป็นธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ติดบ้านคน หรือมีสายไฟ เหมือนกับว่าเราไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย สวยจริง ๆ ครับ

สำหรับใครที่เดินทางช่วงเย็นแบบแก้ว ก็จะมีโอกาสได้ชมอาทิตย์ตกสวย ๆ แบบนี้จากบนรถไฟ เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่ และน่าประทับใจไม่น้อยเลยครับ ภาพนี้แก้วใช้ RAW File ในการถ่ายเช่นเคยครับ

กว่าจะมาถึงสถานีหลวงพระบางก็เอาซะเกือบมืดเลย พอมาถึงแล้ว เพื่อที่จะเข้าเมือง เราก็จำเป็นที่จะต้องเหมารถตู้เข้าเมืองไปนะครับ เพราะหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก ไม่อนุญาติให้รถใหญ่วิ่งในเมืองได้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ครับ

เข้ามาถึงตัวเมืองหลวงพระบางใช้เวลาประมาณ 40 นาที ฟ้าก็มืดพอดีครับ แต่บรรยากาศนั้น ไม่ได้ลดความคึกคักลงไปเลย ช่วงที่แก้วมานั้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมาก โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก เรียกได้ว่าเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้

ตอนกลางคืนที่นี่ ค่อนข้างมีเสน่ห์มากทีเดียว ตึกรามบ้านช่อง Design เก่า ๆ ที่อนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพดี ที่มีอิทธิพลด้านงานสถาปัตยกรรม มาจากตะวันตกยุคเก่า ผสมกับเอเชียแบบที่เราคุ้นตา ภาพนี้แก้วใช้ Night Mode ในการถ่ายครับ ชอบ Motion Blur ที่ได้จาก Night Mode ของ vivo ทุกครั้ง มันทำให้ภาพดูมีชีวิตดี

อาคารในสไตล์ตะวันตก ที่ส่งต่อเรื่องราวมาจากยุคสมัยที่ลาวยังเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสนั้น ก็ถูกดัดแปลงมาเป็น คาเฟ่บ้าง ร้านค้าบ้าง หรือแม้กระทั่งโรงแรม หลาย ๆ ตึกในเมืองนี้อายุเกือบ ๆ จะ 100 ปี ได้แล้ว

ด้วยความที่พอตกกลางคืนแล้ว ที่หลวงพระบางรถจะน้อยมาก ๆ ทำให้ตอนจะถ่าย Long Exposure แบบ Traffic Trail แบบนี้ แก้วยืนรอรถอยู่นานพอสมควรเลย แต่ภาพที่ได้ก็คุ้มค่ากับการรอครับ

แก้วเดินลัดเลาะมาตามเมืองหลวงพระบางในฝั่งริมแม่น้ำ จนมาเจอกับ อีกหนึ่งสถานที่ Iconic ของที่นี่ นั่นก็คือ สะพานไม้ไผ่ ซึ่งช่วงเวลาที่มาแล้วจะถ่ายรูปสวย ๆ ได้ จะมีด้วยกัน 2 ช่วงก็คือ ช่วงเช้าตรู่ และ Magic Hour ตอนเย็นประมาณ 18.00 ที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ยิ่งถ้าใช้ Night Mode จะช่วยควบคุมแสงในแต่ละส่วนของภาพไม่ให้ Over ได้อีกด้วยครับ

ราคาในการเข้าชม หรือค่าใช้สะพานนี้ อยู่ที่ 10000 กีบ หรือประมาณ 20 บาท แล้วแต่ช่วงของค่าเงิน เมื่อดูด้วยตาเปล่านั้น สะพานอาจจะดูไม่ได้แข็งแรงอะไรมากมายนัก แต่ความเป็นจริงแล้ว สะพานในลักษณะแบบนี้เป็นภูมิปัญญาของชาวลาวมายาวนาน แข็งแรง ดูแลง่าย และทนทานใช้งานได้นานมากทีเดียว

พอข้ามฝั่งมา ก็จะพบกับร้านอาหาร และเป็นบาร์ในตัวด้วย ซึ่งแก้วจะทานอาหารเย็นกันที่นี่เลยครับ บรรยากาศก็ มีการผสมผสานความเป็นลาวแบบดั้งเดิม และ การจัดโซนแบบร้านอาหารสมัยใหม่ลงตัวทีเดียว ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว ร้านมืดมากนะ แต่พอใช้ Night Mode นี่ สว่างใสเห็นชัดขึ้นมาเลย

และนี่ก็คือ มื้อเย็นของแก้วนั่นเองครับ นั่นก็คือ จิ้นย่าง หรือ หมูย่าง ถ้าบ้านเราเอาแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ หมูกระทะนั่นแหละครับ แต่ว่าไม่ได้เป็น Buffet นะครับ สั่งเป็นชุด โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ชุดละ 170,000 กีบ หรือประมาณ 340 บาทครับ

เริ่มเช้าวันใหม่ ด้วยการออกไปเดินหากาแฟกินกันครับ แน่นอนว่าแก้วก็จะเลือกร้านที่เป็น Local ของที่นี่ ทั้งตัวบรรยากาศของร้าน และกาแฟที่ใช้ อยากสัมผัสความเป็นลาวดั้งเดิม แบบเต็ม ๆ

ซึ่งร้านกาแฟที่แก้วมา ก็คือร้านที่มีชื่อว่า SINOUK นั่นเองครับ Location ของร้านก็อยู่ตรงกลางเมืองหลวงพระบางเลย อยู่ติด ๆ กับสี่แยกซอยตลาด Night Market ครับ ราคากาแฟต่อแก้วอยู่ที่ 25000 กีบ หรือประมาณ 50 บาทครับ

ใครที่เป็นคนกินกาแฟเข้ม ๆ แบบแก้ว แนะนำว่า ให้สั่ง Double Shot ไปเลยครับ เพราะที่นี่ค่อนข้าง ใช้กาแฟคั่วอ่อน รสบาง ๆ เน้นนม เน้นหวาน พอสมควรเลยครับ

พอได้กาแฟเสร็จแล้ว เราก็มาจัดอาหารเช้าแบบพื้นเมืองกันต่อเลย นั่นก็คือ เฝอลาว นั่นเองครับ ได้ทานอะไรร้อน ๆ แบบนี้ กับอากาศเย็น ๆ ที่ 20-22 องศา คือ ฟินมาก ๆ

อิ่มท้องแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันต่อครับ สถานที่แรกที่แก้วมาในวันนี้ก็คือ วัดเชียงทอง มรดกแห่งอาณาจักรล้านช้าง อายุกว่า 400 ปี ดูจากในภาพว่าสวยแล้วใช่ไหม ? ครับ ต้องได้ไปเห็นของจริง สวยกว่ามาก ๆ

ช่องหน้าต่างที่เป็น Highlight ของวัดเชียงทอง ที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายภาพกัน มารอบนี้ ไม่ได้มีนางแบบมาด้วย เลยจับคุณแม่ มาเป็นนางแบบในภาพให้แทนครับ

สืบเนื่องจากเมื่อวานที่เมฆเยอะ ฟ้ายังไม่ค่อยเปิด วันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ครับ ทำให้ภาพเกือบทั้งหมดที่แก้วถ่าย ยังคงใช้ RAW File มา Process ดึงรายละเอียดภายหลังเหมือนเดิม

ไปกันท่อที่สถานที่ต่อไปครับ โดยที่เราจะต้องนั่งรถตู้ออกจากตัวเมืองหลวงพระบางออกมาประมาณ 30 นาที แล้วมาต่อรถไฟฟ้ารับส่งอีก 10 นาที เราก็จะมาถึง บริเวณทางเดินขึ้น น้ำตกตาดกวางสีแล้วครับ

ตัวน้ำตกตาดกวางสีนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้น จะอยู่ห่างกันไม่เกิน 200 เมตร ทำให้ตลอดเส้นทางการเดินนั้น ถ้าเราไม่ได้แวะถ่ายภาพเป็นเวลานาน จะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ก็จะเดินถึงชั้นบนสุดแล้ว

ความสวยงามของน้ำตกในแต่ละชั้นนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ทั้งความสูง ลักษณะของชั้นหิน ถ่ายภาพสนุกมากเลยครับ แน่นอนว่า Long Exposure ใน Mode Waterfall จะต้องถูกหยิบมาใช้แน่นอนครับ

นี่คือ น้ำตกตาดกวางสี ในชั้นบนสุดครับ ยิ่งใหญ่ อลังการ สวยงามมาก ๆ เลย มาถ่ายน้ำตกทั้งที จะพลาดใช้ Long Exposure ใน Mode Waterfall ให้สายน้ำนุ่ม ๆ ไปได้ยังไง ข้อดีคือ ไม่ต้องมีขาตั้งกล้อง ยกถ่ายด้วยมือเปล่าได้เลย ไม่ต้องกลัวภาพสั่น ตั้งระยะเวลาในการลากชัตเตอร์ไว้ที่ 8 วินาทีครับ

มุมไกล ๆ กันไปแล้ว มาลองมุมเจาะกันบ้างครับ จัดวางฉากหน้าเพื่อให้ตัวภาพมีมิติมากขึ้น ลดระดับหน้ากล้องลงต่ำกว่าช่วงเอว แล้วแหงนหน้ากล้องขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ Perspective ที่เกิดจากกล้อง ทำให้ตัวน้ำตกดูยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก

ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันนี้ แก้วจะไปลงเรือ ล่องแม่โขงชมวิวสองริมฝั่งแม่น้ำ และรอชมอาทิตย์ตกตอนเย็น

วิวธรรมชาติริมสองฝั่งแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นไปหมด แล้วก็เจอเรือลำอื่น ๆ ด้วย นี่ถ้าเมฆน้อยกว่านี้ ท้องฟ้าเปิด ๆ สักหน่อยมันคงจะสวยกว่านี้แน่ ๆ

แก้วแอบมานั่งอยู่ท้ายเรือคนเดียว รับลมเงียบ ๆ ฟังเสียงเครื่องยนต์ ให้หูอื้อกันไปข้างหนึ่ง

ระหว่างทางก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่ตัวเราสามารถบอกคนเรือ ให้แวะได้ เช่นที่นี่ครับ ถ้ำปากอู หรือ ถ้ำติ่ง ที่จะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก ที่ชาวลาวศรัทธา ให้ความเคารพ มากราบไหว้บูชาขอพร กันเป็นประจำ แต่แก้วไม่ได้ขึ้นนะครับ เพราะในถ้ำ ค่อนข้างอับ กลัวจะป่วยก่อนจบทริป

ปิดท้ายวันนี้ ด้วยวิวอาทิตย์ตกเหนือแม่น้ำโขง สวย ๆ ครับ ภาพนี้แก้วถ่ายด้วย RAW File แล้ว Process ดึงรายละเอียดส่วน Shadow และ Highlight ได้สบายมาก ๆ และได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาติด้วยครับ

วันถัดมา แก้วออกเดินทางไปวังเวียง ด้วยรถไฟความเร็วสูงจากหลวงพระบาง ไปที่สถานีวังเวียงแต่เช้า

พอนั่งรถไฟเรื่อย ๆ ใกล้จะถึงวังเวียง วิวสองข้างทางก็จะเริ่มเปลี่ยนไปชัดเจน จากที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ กลายเป็นภูเขาสูง ร่มรื่น มีแม่น้ำใหญ่น้อยไหลผ่านมากมาย ถ่ายรูปเพลินมาก รู้ตัวอีกที ก็มาถึงวังเวียงแล้ว

วิวแรกที่ทุกครั้งที่แก้วมาวังเวียง จะต้องมาถ่ายรูป ก็คือ วิวของ แม่น้ำซองครับ เป็นแม่น้ำ ตื้น ๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่ตัดผ่านตัวเมืองวังเวียง ของเป็นสองฝั่ง โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือช่วงเย็น คือสวยมาก จะมีหมอกอ่อน ๆ ลอยปกคลุมเมืองเอาไว้

ภาพนี้แก้ว ถ่ายจากดาดฟ้าโรงแรมที่แก้วพัก โดยที่หันหน้าไปอีกทาง เราจะเห็นแนวภูเขาที่ล้อมรอบตัวเมือง และหมู่บ้านในวังเวียงเอาไว้ สลับซับซ้อนแบบ สุดลูกหู หูตาจริง ๆ

ในช่วงที่การสัญจรทางน้ำไม่หนาแน่น เราจะมองเห็นกลุ่มชาวบ้าน ลงไปหาผักน้ำ หรือ จับปลา ในแม่ซ้ำซอง ให้เห็นกันได้อยู่ตลอด ใครชอบถ่ายภาพแนว Documentary ต้องรอบ Moment อะไรแบบนี้แน่ ๆ ภาพนี้แก้วถ่ายด้วย Mode Auto แบบ Crop 2x

พอตกเย็น กลุ่มเรือนำเที่ยว ก็จะเริ่มพานักท่องเที่ยว ล่องแม่น้ำชมบรรยากาศ โดยที่จะมีค่าใช้จ่าย 250 บาท ต่อคนครับ

ส่วนตัวแก้วเอง ขอนั่งอยู่ริมตลิ่ง เอาเท้าแช่น้ำเย็น ๆ ให้สดชื่น ก็พอใจแล้วครับ ผ่อนคลายมาก ๆ

ปิดท้ายกันด้วย ภาพบรรยากาศยามค่ำคืน ริมแม่น้ำซองบริเวณที่พักของแก้ว สวยโรแมนติกมากฮะ

นี่ก็คือ ทั้งหมดของ Trip เที่ยวลาว 3 เมืองของแก้ว กับ vivo V25 Pro 5G เป็นยังไงกันบ้างครับ สวยงาม น่าไปตามรอยขนาดไหน ? ถ้าชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ให้ด้วยนะครับ

----------------------------------------------------------------------------------------


[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]

IG : kaew.mobilefoto

0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page