สวัสดีครับทุกคน แก้วจาก Mobile Photographer นะครับ มาแล้วครับ รีวิวที่ทุกคนรอคอย vivo X200 Series เรือธงส่งท้ายปี 2024 จากทาง vivo ในปีนี้ หลังจากพาทุกคนไปดูงานเปิดตัวที่จีน และ แกะกล่องพรีวิวให้ดูกัน ตอนนี้แก้วก็ใช้งาน vivo X200 Series มาได้ เกือบ 1 เดือน ถ่ายรูป ไปเกิน 4000 ภาพได้แล้ว บอกเลยว่า นี่คือ " Best of overall Flagship " แห่งปี 2024 ในใจแก้วเลย แต่มันจะเจ๋งแค่ไหน ? ไปดูรีวิวกันครับ
SPECIFICATION | vivo X200
Chipset : MediaTek Dimensity 9400
RAM 12GB LPDD5X | Storage 256GB UFS 4.0
Display : 1.5K 6.67-inch AMOLED | 1B colors | 120Hz | HDR10+
Operation system : Funtouch OS 15 | Android 15
Good quality Stereo speaker | IP68/IP69
Bluetooth 5.4 | USB Type-C 2.0 | Wifi7
Battery 5800mAh | 90W vivo FlashCharge
SPECIFICATION | vivo X200 Pro
Chipset : MediaTek Dimensity 9400
RAM 16GB LPDD5X | Storage 512GB UFS 4.0
Display : 1.5K 6.78-inch LTPO OLED | 1B colors | 120Hz | HDR10+ | Dolby Vision
Operation system : Funtouch OS 15 | Android 15
Good quality Stereo speaker | IP68/69
Bluetooth 5.4 | USB Type-C 3.2 | Wifi7
Battery 6000mAh | 90W vivo FlashCharge | 30W Wireless FlashCharge
WHAT'S IN THE BOX : อุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวเครื่อง vivo X200 | vivo X200 Pro
Case กันกระแทกแบบนิ่ม ( สีแตกต่างกัน )
USB-C Cable ( USB-A to USB-C )
Adapter vivoFlashCharge 90W
Sim card ejector | Manual Document
DESIGN งานออกแบบ
การออกแบบตัวเครื่องของ vivo X200 Series นั้น มีการปรับปรุงมากจาก vivo X100 Series เยอะมาก ๆ มีความเป็นเหลี่ยมสันมากขึ้น กระชับมือขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอาย และเอกลักษณ์จาก vivo X100 Series เอาไว้อยู่ ที่เห็นได้เด่นชัดเลยก็คือ Shape ในการจัดวาง Module กล้องที่เป็นทรงกลมสวยงาม และ Logo ZEISS สีฟ้า ที่โดดเด่นแสดงถึงการ Co-Engineered อันเหนียวแน่นของทั้ง 2 แบรนด์
การจับถือใช้งานของ vivo X200 และ vivo X200 Pro มีความแตกต่างกันชัดเจน ทั้งในเรื่องของขนาดตัวเครื่อง และน้ำหนักของตัวเครื่อง ด้วยที่ vivo X200 นั้น จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.67 นิ้ว และน้ำหนัก 202 กรัม ส่วน vivo X200 Pro จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.78 นิ้ว และน้ำหนักตัวเครื่อง 228 กรัม และในเรื่องของ Build Quality ของตัวเครื่อง ทั้งงานประกอบ และงานสี เป็นสิ่งที่เราไว้ใจ vivo ได้เสมอ และในครั้งนี้ก็มาพร้อมกับ มาตรฐาน IP Rating IP68/IP69 ด้วยนะครับ
สีตัวเครื่องที่แก้วนำมารีวิวให้ทุกคนได้ดูกัน จะมีด้วยกันทั้งหมด 2 สีด้วยกัน สี Titanium Gray สำหรับ vivo X200 Pro และ สีฟ้า Ocean Blue สำหรับ vivo X200 วัสดุฝาหลังจะเป็นกระจกเหมือนกันทั้งคู่ แต่ลักษณะพื้นผิวของฝาหลังจะแตกต่างกัน ตัวสี Titanium Gray จะเป็นกระจกแบบด้าน ส่วน Ocean Blue จะเป็นแบบมันเงา
Frame ตัวเครื่องของ vivo X200 Series จะใช้วัสดุที่เป็น Aluminium Alloy เหมือนกัน แต่ลักษณะในการทำสีนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป เช่น สี Titanium Gray ก็จะเป็นผิวเหล็กแบบขัดเสี้ยน มีลวดลายการทำ Hairline Polished คล้ายกับ Bracelet ของนาฬิการาคาแพง ถ้าเป็น Ocean Blue ก็จะเป็นสีฟ้าอ่อนแบบมันเงา
ด้านล่างของตัวเครื่อง ก็จะเป็นที่อยู่ของ Port USB-C ช่องใส่ Sim Card และ ช่องลำโพง Dual Speaker มาให้ และในช่องไมโครโฟน มาให้ในทั้งสองรุ่นเลยครับ พอมองดูเครื่องในมุมนี้แล้วรู้สึกว่า ความหนาตัวเครื่องนั้น อาจจะไม่ได้ต่างกันมากนัก ส่วนด้านบน ในรุ่นนี้ จะไม่มี Choker แล้ว แก้วคิดว่า ทางแบรนด์คงไม่ต้องมาย้ำอีกแล้ว ว่า vivo X Series คือ Professional Photography ตัวจริง
DISPLAY : หน้าจอแสดงผล
ทีนี้เราพลิกมาดูที่เรื่องของหน้าจอกันบ้างนะครับ จุดนี้เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนมาก จากที่ทาง vivo จะใช้รูปแบบหน้าจอที่เป็น 3D curved display มาตลอด หลาย ๆ คนที่ไม่ชอบจอโค้งก็จะรู้สึกใช้ยาก หรือไม่ค่อยถูกใจนัก แต่ในรอบนี้ ทาง vivo ได้เปลี่ยนมาใช้ Quad Curved Display ซึ่งจะเป็นหน้าจอที่ มีความโค้งรอบด้าน เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เวลาเราใช้งาน ความรู้สึกที่ได้จะเหมือน Flat Display หรือ จอแบน มาก ๆ แต่ได้ข้อดีในเรื่องของการใช้ Gesture ลากนิ้วตามขอบจอ ที่ไม่เจอเหลี่ยมสัน จะสบายนิ้วมากกว่า
Panel หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ก็คือ vivo X200 จะใช้ Panel หน้าจอที่เป็น AMOLED ส่วน vivo X200 Pro จะใช้เป็น LTPO AMOLED แต่นอกนั้นเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด โดยที่จะมี Resolution อยู่ที่ 1.5K และ มีค่า Refresh Rate อยู่ที่ 120Hz การแสดงผลขอบเขตสีอยู่ที่ 1 พันล้านสี และรองรับ HDR10+ และ Dolby Vision อีกหนึ่ง Highlight ก็คือ Local Peak Brightness อยู่ที่ 4500nits ซึ่ง เพียงพอต่อการใช้งานในทุกสภาวะแสงแน่นอน
ถึงแม้จะ Panel หน้าจอต่างกัน แต่คุณภาพการแสดงผลของหน้าจอ ในทุก ๆ รูปแบบการใช้งานของทั้ง 2 รุ่นนั้น ตอบสนองเราได้อย่างดีเยี่ยมมาก ๆ ให้สีสันที่สวย Contrast ดีมาก ๆ รองรับการรับชม Content คุณภาพสูงจากทุก ๆ Platform ยิ่งเวลามาทำงานคู่กับลำโพงคู่ที่คุณภาพเสียง ดีขึ้นกว่าตอน vivo X100 Series แบบรู้สึกได้ ยิ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดี
YouTube 4K HDR
Disney+ 4K HDR
Netlflix 4K HDR | L1
Prime Video 4K HDR
นอกจากนั้นก็จะมีฟีเจอร์เสริมของตัวหน้าจอ อย่าง " Visual Enhancement " หรือ " การปรับปรุงภาพ " ทำให้เวลารับชม Content จาก Platform ต่าง ๆ จะได้สีสัน และ Contrast ที่สวยกว่าเดิม โดยเมื่อเราเปิดขึ้นมาแล้ว สามารถตรวจสอบได้ว่า ฟีเจอร์นี้ Active บน Platform ไหนบ้างนะครับ
และก็ยังมี Display Color Profile ให้เราเลือกใช้งานตามวัตถุประสงค์ หรือตามสถานการณ์แสงที่เราอยู่ โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน 1. Standard | 2. Professional | 3. Bright และสามารถเลือกเปิด Adaptive Color ให้ปรับอุณหภูมิสีหน้าจอ ตามสภาพแสงที่เราใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่ตอนนั้นได้
ครั้งแรกของ อุตสาหกรรม หน้าจอ Zeiss Master Color Certified
สีหน้าจอ และค่าความแม่นยำสี Tuned และ Certified โดย ZEISS ด้วยค่าความแม่นยำของสี ΔE ที่ 0.27 มั่นใจได้ทุกครั้ง เวลาต้องทำงานจริงจังบนสมาร์ทโฟน จะแต่งภาพ จะตัดต่อวีดีโอ ได้สีสันที่ตรง และสวยงามแน่นอนครับ นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยรักษา สุขภาพดวงตาอีกหลายอย่าง เช่น “Smart Low Blue Light 3.0 | Night Owl Eye Protection 2.0 และมีค่า 2160Hz PWM Dimming ลดการกระพริบ ช่วยให้การใช้งานในที่แสงน้อย ไม่เป็นภาระของดวงตา
ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 4500nits เท่ากัน ซึ่งจากที่แก้วออกไปใช้งานจริงมา ต้องบอกว่า vivo X200 Pro ยังให้ความสว่างที่มากกว่าตัว vivo X200 อยู่เล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว สามารถใช้งานนอกบ้าน เห็นหน้าจอได้อย่างชัดเจนครับ
ตัว Fingerprint scanner นั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ Sensor และตำแหน่งในการจัดวางนั้น แตกต่างกันทั้งหมด ถ้าเป็นรุ่นน้อง vivo X200 รูปแบบ Sensor จะเป็น Optical Sensor และจะจัดวางเอาไว้ค่อนข้างต่ำ ส่วน vivo X200 Pro รูปแบบ Sensor จะเป็น Single Point Ultra Sonic และตำแหน่งในการจัดวางนั้น ใช้งานได้สะดวกกว่า ส่วน Response หรือความรวดเร็วนั้น รวดเร็ว ไม่ต่างกันครับ
CAMERA SPECIFICATION
เป็นเวลาที่ยาวนานมากแล้วนะครับ ที่ทาง vivo ได้ร่วมพัฒนากล้องถ่ายภาพ กับบริษัท ผลิตชิ้นเลนส์ระดับโลกอย่าง Carl ZEISS ซึ่งปีนี้ vivo ก็สร้าง Surprise ตลอดทั้งปี อย่างช่วงต้นปี ก็นำ ZEISS มาอยู่ใน vivo V30 Series 5G แต่สงวนไว้ให้เฉพาะตัว Pro เท่านั้น แต่พอมาปลายปี จัดเต็มให้ในทุกรุ่น ของ vivo V40 Series 5G เลย เรามาดู Spec กล้องกันครับ
vivo X200
MAIN CAMERA 50MP | f/1.57 | IMX921 OIS | PDAF | Laser AF
ULTRA WIDE ANGLE 50MP f/2.0 | JN1 | f/2.0 | AF
3x TELEPHOTO 50MP f/2.57 | IMX882 | OIS | PDAF
FRONT CAMERA 32MP | ISOCELL KD1 | f/2.0 | WIDE
Images Processing Chip V2
vivo X200 PRO
MAIN CAMERA 50MP | f/1.57 | LYT-818 OIS | PDAF | Laser AF
ULTRA WIDE ANGLE 50MP f/2.0 | JN1 | f/2.0 | AF
3.7x TELEPHOTO 200MP f/2.67 | ISOCELL HP9 | APO | OIS | PDAF
FRONT CAMERA 32MP | ISOCELL KD1 | f/2.0 | WIDE
Images Processing Chip V3+
IMAGE POST PROCESSING : คาแร็คเตอร์ภาพ
ลักษณะในการ Process ภาพของ vivo X200 Series ทั้ง 2 รุ่น จะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ก็คือ vivo X200 Pro จะมีการ Process ไฟล์ออกมาที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า การเติม Sharpness และการทำ Auto HDR จะทำน้อยกว่า ทำให้เนื้อไฟล์ที่ออกมานั้นมีความใกล้เคียงกล้องจริง ๆ มากขึ้น ในขณะที่ vivo X200 ตัวรุ่นน้อง จะ Process ออกมาเน้นความสำเร็จรูปเลย ภาพจะดูคมจาก Software ตัว Auto HDR ก็จะขุดส่วนเงามากกว่า ไปจนถึง สีสันของภาพก็จะมีความสดกว่าด้วย ขนาดว่า Picture Profile แบบ ZEISS Natural เอาไว้ ภาพที่ออกมา เหมือน vivo X200 Pro ใช้ Profile Vivid เลย
ตัว Color Profile ก็มีให้เลือกใช้งาน 3 แบบเหมือนเดิม ก็คือ 1. Vivid | 2. Textured | 3. ZEISS Natural ซึ่งแก้วแนะนำวิธีการ Setup เบื้องต้นให้ ก็คือ ใครใช้ vivo X200 Pro ให้เลือก Vivid ไปเลย ส่วนใครใช้ vivo X200 ให้เลือกเป็น ZEISS Natural สีสัน จะดูลงตัวที่สุด
แต่ทาง vivo เองก็ได้ให้อิสระกับผู้ถ่ายภาพมากขึ้น ด้วยการใส่ฟีเจอร์ที่เรียกว่า Effect Adjustment ซึ่งเป็นการพัฒนามาจาก Effect Control ใน Generation ก่อน เราสามารถที่จะ ปรับ Profile ภาพขึ้นมาใช้เองได้ ด้วยกับปรับแต่งค่า ทั้งหมด 4 ค่าด้วยกัน ได้แก่
Brightness : ความสว่าง
Saturation : ความอิ่มของสี
Contrast : ค่าความเปรียบต่างของแสง
Sharpness : ความคมของภาพ
ซึ่งตัวแก้วจะปล่อยค่า Default เอาไว้เลย แต่จะมาปรับแค่ Sharpness ให้ลดลงมา เหลือ 1/4 เท่านั้น เพื่อให้ภาพดูไม่แข็งจนเกินไป ได้ฟีลเนื้อไฟล์จากกล้องใหญ่มากขึ้นนั่นเองครับ
นอกจากทั้งหมดนี้ vivo ยังได้แอบซ่อนอีก Mode การถ่ายภาพเอาไว้ โดยใช้ชื่อว่า Street Mode ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับ UI กล้องถ่ายภาพ ให้ได้ฟีล Vintage มากขึ้นแล้ว ใน Mode นี้เรายังสามารถ ควบคุมกล้องได้อย่างอิสระ คล้าย ๆ กับ Mode Pro แต่ที่แก้วใช้บ่อย จะเป็นการชดเชยแสง หรือการปรับค่า EV ให้เหมาะสมกับภาพที่เราจะถ่าย
และ ที่เจ๋งไปกว่านั้น คือ เราสามารถสร้าง Preset การตั้งค่าที่เราอยากได้ หรือใช้งานบ่อย เก็บเอาไว้ได้เลย อย่างแก้วเองก็จะสร้าง Preset สำหรับการถ่ายภาพขาวดำ | Preset สำหรับการถ่าย Landscape
AI PHOTO EDITING FEATURES
vivo ได้นำ AI ที่ช่วยในการตกแต่งภาพ เข้ามาใส่ให้เราเยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น AI ERASE แบบที่แบรนด์ไหนก็ต้องมี โดยของทาง vivo เราจะสามารถใช้การวง การระบาย ไปจนถึง ให้ Auto Detect คนในภาพ แล้วเลือกลบเป็นรายคน หรือลบทีเดียวทั้งหมด ก็ทำได้
อีกหนึ่งอย่างที่แก้วว่าเจ๋งดี คือ AI Photo Enhancement หรือ AI ที่ช่วยในการ ซ่อมแซมภาพ ที่สูญเสียรายละเอียดไป ไม่ว่าจะจากการถ่ายภาพในที่แสงน้อย แล้ว Noise เยอะ ภาพที่เบลอ อาจจะจากเพราะ Focus ไม่เข้า หรือ มี Motion Blur ไปจนถึง ไฟล์ภาพเก่า ๆ ที่เรามีอยู่ สามารถมาใช้ AI ตัวนี้ ทำให้ภาพคมชัดมากขึ้นได้
แลพ AI อีกตัวที่ออกแบบมาแก้ไขเรื่องที่เคยเป็นประเด็น ก็คือ AI ที่คอยช่วยลบแสง Halo Flare ในภาพ ที่อาจจะมาจากความไม่ตั้งใจ หรือไม่ทันได้ดู โดยเราสามารถเลือกเปิดให้ ลบแบบอัตโนมัติหลังถ่ายเลยก็ได้ หรือจะมาลบออกทีหลังก็ทำได้เหมือนกันครับ
vivo X200 Pro : กล้องหลัก 50MP | LYT-818 | f/1.57
เรามาเริ่มกันที่กล้องหลักของ vivo X200 Pro กันก่อนเลยนะครับ หลายคนอาจจะกังวลว่า พอเปลี่ยน Sensor มาเป็น LYT-818 แทนที่จะเป็น IMX989 ขนาดหนึ่งนิ้วแล้ว ภาพที่ได้จะด้อยลงไหม ? ซึ่งแก้วต้องใช้คำว่า มีทั้งจุดที่ LYT-818 ดีกว่า และจุดที่ยังทำได้ไม่เท่า IMX989
จุดที่ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนมาก ๆ คือ เรื่องของ Dynamic Range และ คุณภาพไฟล์ ภาพตัวอย่างเกินกว่า 70% ในรีวิวนี้ แก้วถ่ายโดยปิด Auto HDR ที่ทำแบบนั้นเพราะว่า รายละเอียดในแต่ละช่วงความสว่าง Sensor ตัวนี้เก็บมาได้ครบ และดูเป็นธรรมชาติ ซึ่ง ต้องขอชม Software auto exposure หรือ ระบบวัดแสงของรุ่นนี้ ที่วัดแสงเผื่อขึ้นมาครึ่ง Stop เสมอ ซึ่งน่าจะตรงกับรสนิยมคนส่วนใหญ่แน่นอน
White Balance ของกล้องหลักตัวนี้ตอนที่เป็น Software ติดเครื่อง ยังมีอาการ Swing ให้เห็นบ้าง เวลาเจอสภาพแสงยาก ๆ แต่ปัจจุบัน หลังผ่านการอัพเดตมา 2 Patch นิ่งขึ้นเยอะ โอกาสที่ภาพจะสีเพี้ยนนั้น แทบไม่เกิดขึ้นแล้ว เวลากดถ่ายรัว ๆ สีสันของภาพที่ออกมาก็สม่ำเสมอกันดีครับ
ส่วนในเรื่องของ Depth of field จุดนี้แหละ ที่แก้วบอกว่า IMX989 นั้นยังดีกว่า เพราะด้วยขนาด Sensor ที่ใหญ่ และรูรับแสงที่กว้าง ใน vivo X100 Pro และ vivo X100 Ultra มิติภาพมันเลยทำชัดตื้นได้ง่ายมาก แต่ LYT-818 ตัวนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าขนาดฉีกออกจากกันชัดเจนขนาดนั้นนะ
สำหรับแก้วถือว่าใกล้เคียงกันประมาณ 80% เลย แก้วคิดว่าทาง vivo รู้แหละ ว่าคนชอบการเบลอฉากหลังเยอะ ๆ เลยขยายรูรับแสงขึ้นมาทดแทนอยู่ที่ f/1.57 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ทำได้ใกล้กว่า IMX989 มาก ๆ
vivo X200 : กล้องหลัก 50MP | IMX921 | f/1.57
ทีนี้มาดูกล้องหลักของรุ่นน้องกันบ้างนะครับ สำหรับ Sensor IMX921 จริง ๆ แล้วก็คือพื้นฐานเดียวกับ IMX920 ใน vivo X100 เมื่อต้นปีที่ผ่านมานั่นแหละ แต่ทาง vivo ได้เอา algorithm สี แบบ VCS True Color Generation ใหม่ เข้ามาใส่ ให้ได้สีสันที่สวยงามมากขึ้น แต่ว่าในแง่ Dynamic Range สำหรับแก้วถือว่า ใกล้เคียงกับรุ่นที่แล้ว และแนะนำให้เปิด Auto HDR เอาไว้ตลอดนะครับ
ที่แก้วบอกแบบนั้นเพราะว่า เวลาเราถ่ายภาพย้อนแสง Detail ในส่วนเงา จะค่อนข้างมืดกว่า และ มีโอกาสสูญเสียรายละเอียดในส่วน Highlight ของภาพ ได้ง่ายกว่า กล้องหลักของ vivo X200 Pro ที่ใช้ LYT-818 ที่มี Dynamic Range สูงกว่า การเปิด Auto HDR เอาไว้ จะช่วยให้ได้ Dynamic Range ที่ใกล้เคียงตัว Pro มากขึ้นนั่นเอง
Auto White Balance และ Auto Exposure สามารถวัดแสง และคุมอุณหภูมิสีของภาพ ออกมาได้แม่นยำ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงแบบไหน สีสันของภาพค่อนข้างจะสดกว่ากล้องหลังของ vivo X200 Pro โดยเฉพาะเมื่อตั้ง Profile สีไว้ที่ Vivid ( สดใส ) แก้วแนะนำว่า ถ้าอยากได้ความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ให้เลือก Profile สีเป็น " ZEISS Natural " นะครับ
ส่วน Depth of field นั้น เทียบกับกล้องหลักของรุ่น Pro ถ้าเราถ่ายในระยะห่างจากวัตถุประมาณ 2 ฟุต ขึ้นไป เราจะไม่ค่อยเห็นความต่างได้มากนัก แต่เมื่อเราใช้ระยะโฟกัสใกล้สุด การละลายฉากหลังของ vivo X200 Pro ก็ยังโดดเด่นกว่าอยู่ดีครับ
PORTRAIT PHOTOGRAPHY : ภาพถ่ายบุคคล
มาถึง Highlight ของ vivo X Series เสมอมา อย่างการถ่ายภาพ Portrait ซึ่ง vivo ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังอยู่แล้ว สำหรับรุ่น vivo X200 Pro จะสามารถถ่ายได้ 5 ระยะ ด้วยกัน ได้แก่ 23mm | 35mm | 50mm | 85mm และ ระยะ 135m ส่วนรุ่นน้อง vivo X200 จะสามารถใช้งานได้ 5 ระยะ เหมือนกัน แต่ Focal Length จะเป็น 23mm | 35mm | 50mm | 85mm | 100mm
พอให้ Focal Length มาเยอะ ๆ แบบนี้ แก้วว่าหลายคน คงจะเลือกไม่ถูกว่า จะจับคู่ ระยะเลนส์ในการถ่าย กับ Bokeh แบบไหน และจะถ่ายสัดส่วนตัวแบบยังไงดี แก้วมี Trick มาฝากทุกคนตรงนี้เลย
Focal Length 23mm - 35mm | f/2.8 - f/4 | ถ่ายครึ่งตัว และ ฉากหลังกว้าง ๆ
Focal Length 50mm | f/1.4 - f/4 | ถ่ายครึ่งตัว เน้น Bokeh เม็ดเล็ก ๆ จำนวนมาก
Focal Length 85mm | f/1.4 - f/2.8 | ถ่ายเต็มตัว / ครึ่งตัว เน้นละลายหลังเยอะ ๆ
Focal Length 100mm / 135mm | f/1.4 - f/2 | ถ่าย 75% ของร่างกาย และ Close-up
ส่วน Bokeh ที่มีให้เลือกใช้งานนั้น ก็จะมีเท่ากันเลย คือ 8 Bokeh ได้แก่ Classic | Biotar | Distagon | Planar | Sonnar | Cine-Flare | Cinematic | B-Speed ซึ่งจากประสบการณ์ แก้วคิดว่า vivo น่าจะเป็นแบรนด์เดียว ที่ให้ Choice ในการเลือก Bokeh มากขนาดนี้แล้ว และทุกตัว ผ่านการพัฒนา และ QC โดยวิศวกรจากบริษัท ZEISS แบบที่แก้วเคยทำคลิบพาไปดูมา
แก้วได้ลองเอาเลนส์ ZEISS ( Planar ) จริง ๆ สำหรับกล้อง Full Frame ไปลองถ่ายเทียบมาให้ทุกคนได้ดูกัน มีความใกล้เคียงกันสัก 80% ได้แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งความคม ไปจนถึง Bokeh จากเลนส์ ZEISS ย่อมทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว แต่ . . . ถ้าเรายอมแบกกล้องและเลนส์ ที่หนัก 400 กรัมไปไหนมาไหน และถ้าอยากจะมีจำนวน Bokeh เยอะเท่า vivo X200 Series ก็ลองคูณน้ำหนักไปดูว่า ต้องแบกกี่กิโล ในขณะที่ vivo X200 Series แค่ 200 กรัมเท่านั้น
หลัง ๆ มา แก้วเริ่มกลับมาใช้งาน Bokeh ที่มันไม่ได้มี Shape ที่ Fancy มากนัก เช่น พวก Classic Bokeh | Planar Bokeh หรือ Distagon บ่อยกว่า Bokeh ในรูปแบบอื่น ๆ ยกเว้นแต่จะไปเจอ Scene ที่มันเหมาะจริง ๆ ถึงจะสลับไปใช้
เช่น เวลาเราเจอฉากหลังที่มีแสงลอดจากใบไม้เยอะ ๆ หรือ พวกแสงสะท้อน แสงไฟต่าง ๆ ก็จะสลับไปใช้ Biotar เพื่อให้ได้เม็ด Bokeh อลังการมาเก็บไว้บ้างสัก 2-3 Shot ก็เพียงพอ
หรือ เวลาไปเจอ Scene ที่มันมีความเป็นภาพยนตร์ มีความเป็น Cinematic มาก ๆ แก้วก็จะเลือกใช้งาน Bokeh กับ สัดส่วนภาพ แบบ Cinematic และ Cine-Flare ที่นอกจากจะช่วย Express อารมณ์ภาพในสไตล์ภาพยนตร์ออกมาได้แล้ว Shape Bokeh ยังมีเอกลักษณ์มาก ๆ อีกด้วยครับ
คำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยกัน คือ ถ้าเรางบไม่เยอะ พอแค่จะซื้อ vivo X200 ได้เท่านั้น น้องจะถ่าย Portrait สู้รุ่นพี่ได้ขนาดไหน มีตรงไหนที่ด้อยกว่าบ้าง ? สำหรับแก้วนะ รุ่นน้องอย่าง vivo X200 เนี่ย ทำได้สัก 80% ของรุ่นพี่ตัว Pro เลย
จุดที่ต่างจะมีแค่ ระยะ Focal Length ที่ใกล้กว่า และคุณภาพไฟล์ ในระยะ 100mm ที่ไม่คมชัดเท่า 135mm ของ vivo X200 Pro จาก Resolution ของ Sensor ในกล้อง Telephoto ที่ต่างกันเยอะ กับ เวลาประมวลผลภาพหลังกดถ่ายที่ Process นานกว่า เพราะว่า Chip ประมวลผลภาพ ในรุ่น Pro เป็น V3+ รุ่นใหม่ ส่วน vivo X200 จะเป็น Chip V2 ตัวเดิม
เผลอ ๆ ในเรื่องของ Beauty Mode และ Skintone ตัวรุ่นน้อง จะตรงใจสาว ๆ กว่าด้วย แก้วลองให้น้องหนิง นางแบบประจำของเราเลือกภาพดูว่าชอบอันไหนมากกว่า เกือบทั้งหมด หนิงเลือกภาพจาก vivo X200 มากกว่าตัว Pro โดยให้เหตุผลว่า ชอบ Skintone มีความอมชมพูกว่า และ Contrast ไม่เข้มเท่าตัว Pro ส่วนพวก Bokeh นั้นก็ทำได้ดีพอ ๆ กัน
และสำหรับคุณภาพไฟล์เวลาถ่ายภาพ Portrait ในช่วงกลางคืน ต้องบอกว่า vivo X200 Series ไม่ว่าจะเป็น vivo X200 หรือ vivo X200 Pro เอาอยู่ทุกสภาพแสงจริง ๆ แก้วมี Trick ให้เพื่อให้ได้คุณภาพไฟล์ดีที่สุด ให้เราพยายามถ่ายใน Scene ที่พอมีแหล่งกำเนิดแสงอยู่บ้าง หรืออาจจะเปิดแฟลชช่วยก็ได้
ถ้าใน Scene ที่ถ่ายพอมีแหล่งกำเนิดแสงอยู่บ้าง ทุกคนจะเห็นว่าต่อให้เป็นการ Crop zoom 2x หรือ ใช้ Focal Length ที่ไม่ตรงตามระยะ Optical ภาพที่ออกมาก็จะได้คุณภาพดี สีสวย ไฟล์ใสเหมือนเดิม
ส่วนใครที่กังวลว่า พอมาเจอที่แสงน้อย การถ่ายภาพ Portrait ในระยะ 85mm | 100mm ของ vivo X200 จะสู้ตัว Pro ไม่ได้ แก้วยืนยันให้อีกที คุณภาพไฟล์อาจจะต่างกันบ้าง แต่เพียงพอต่อการใช้งานถ่ายรูปลง Social Media เวลาไปท่องเที่ยวแน่นอน
แต่ใครที่งบไม่อั้น พร้อมจะไปสุด vivo X200 Pro ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ ISO ทะลุไป 3000 ไฟล์ยังใสปิ๊งเก็บปลายผมได้เป็นธรรมชาติ เนียนสวยไม่แพ้กับการถ่ายภาพตอนกลางวันเลยครับ
vivo X200 Pro : Periscope Telephoto 200MP | HP9 | f/2.67
ดูภาพ Portrait กันไปจุใจแล้ว เรามาดูภาพจาก กล้อง Telephoto 3.7x ที่มี Focal Length 85mm ตัวนี้กันบ้าง คือ ถ้าเราดูตัวเลขที่เป็นระยะคูณ เราจะรู้สึกว่า 3.7x นี่ เป็นระยะที่ดูแปลก และครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ถ้าใครเคยใช้กล้องถ่ายภาพมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น DSLR หรือ Mirroless จะรู้ว่า ระยะ 85mm นี่แหละ คือ หนึ่งใน Pinnacle ของเลนส์ Fix ถ่ายภาพ Portrait เลย
แต่ถ้า vivo เอง ก็ไม่ได้อยากแค่จะเอา Telephoto ตัวนี้มาเน้น Portrait แต่เพียงอย่างเดียว ครั้งนี้ก็เลยได้เอา Sensor ISOCELL HP9 ความละเอียด 200MP ที่มีขนาด Sensor ใหญ่เกือบเท่ากล้องหลัก และเคยประจำการอยู่ใน vivo X100 Ultra เมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยมีการปรับปรุงเรื่องการกันสั่น และการจัดเรียงชิ้นเลนส์ ให้โฟกัสได้นุ่มนวลมากขึ้น รองรับการถ่ายภาพได้หลากหลายกว่าเดิม และ ปิดท้ายด้วย การนำชิ้นเลนส์กระจกแท้ มาตรฐาน APO มาใส่ในกล้อง Telephoto เป็นครั้งแรกของ Global Model
ทำให้นอกจากจะเป็นกล้อง Telephoto เพื่อการถ่ายภาพ Portrait ที่ดีที่สุดในตลาด ในปี 2024 นี้ ยังมีประสิทธิภาพ และความอเนกประสงค์ในการถ่ายภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่การถ่ายภาพ Landscape | Cityscape | Urban Photography ทำได้ดีมาก ๆ และด้วยความที่ใช้ Sensor ใหญ่ Depth of field มาก ทำให้ มิติภาพของกล้อง Telephoto ตัวนี้ดีที่สุดในตลาด ณ เวลานี้แล้ว เล่น กับ Foreground / Background ได้สบาย
นอกจากนั้น ในวันที่หลาย ๆ ค่าย ไม่สามารถใช้งาน Tele-Macro ได้ เพราะตลอดการลดขนาด Module ของ Periscope Telephoto ลง แต่ vivo ยังเลือกใช้ Structure แบบเดิม ทำให้การถ่ายภาพ Macro เราสามารถเข้าใกล้วัตถุได้ใกล้เหมือนเดิม บวกกับการ Crop on sensor zoom ที่ 10x ทำให้เรื่องถ่าย Macro หาใครมาเทียบ vivo X200 Pro ได้ยากจริง ๆ
vivo X200 กล้อง TELEPHOTO 3x | f/2.57 | IMX882 | OIS PDAF
มาดูกล้อง Telephoto 3x ในรุ่นน้อง vivo X200 กันบ้างครับ ในครั้งนี้ ทาง vivo ได้เปลี่ยนจาก Sensor OV64B ที่เป็นเทคโนโลยีเก่า มาใช้เป็น IMX882 ที่มีขนาด Sensor ใหญ่กว่า และเทคโนโลยีสูงกว่า แต่ยังสามารถคงขนาด Module ที่มีขนาดเล็กเอาไว้ได้
ในแง่ของคุณภาพไฟล์นั้น ถือว่าดีขึ้นกว่าตอน vivo X100 ที่ใช้ OV64B แบบรู้สึกได้ โดยเฉพาะการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ตามส่วนพื้นผิวต่าง ๆ ลดการ Over process ลง ทำให้ภาพดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไปจนถึง Dynamic Range ที่กว้างพอ ๆ กับกล้องหลักเลยก็ว่าได้
และ สำหรับสายถ่ายภาพ Macro ที่คิดว่า จะต้องไปตัว Pro เท่านั้น แก้วขอแสดงความยินดีด้วย เพราะ Telephoto 3x ใน vivo X200 ตัวนี้ สามารถถ่าย Tele-Macro ในระยะใกล้ ๆ ได้เหมือนกับรุ่นพี่ อาจจะมีเรื่อง Depth of field ที่จะน้อยกว่าตัว Pro แต่แลกมาด้วย ตัวเครื่องที่เล็ก น้ำหนักเบา Module กล้องไม่ดันนิ้ว แก้วว่า ก็เป็นเรื่องที่ Trade off กันได้ครับ
ที่นี้ Performance ในการ Zoom ไกล ภาพนิ่งสูงสุดของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ 100x แต่ระยะในการ Zoom แบบ Lossless ที่หวังผลได้ สำหรับ vivo X200 Pro เต็มที่อยู่ที่ประมาณ 30x หรือ 690mm หากมากกว่านั้น AI จะเริ่มใช้ Pixel Reproduction เข้ามาช่วย ภาพที่ได้ก็จะดูผ่านการ Process มากขึ้น แต่เพียงพอที่เราจะเอามาใช้ในการ Zoom เพื่ออ่านตัวอักษรต่าง ๆ ได้
ส่วนระยะ Zoom ไกล แบบ Lossless ที่หวังผลได้สูงสุดของ vivo X200 อยู่ที่ 20x ด้วย Focal Length ตั้งต้นที่ใกล้กว่า และ Resolution ของ Sensor ที่น้อยกว่า 4 เท่า ซึ่งถ้าเกิดเราเอาคุณภาพไฟล์มาลองเทียบกันจริง ๆ เราจะรู้สึกว่า ความต่างน่าจะไม่เกิน 20%
STAGE MODE : เอาใจสายถ่าย Concert เอกสิทธิ์ เฉพาะรุ่น Pro
อีกหนึ่งอย่างที่ แฟน ๆ vivo สาย Concert จะต้องดีใจ ก็คือ ทาง vivo ได้ออกโหมดใหม่ที่มีชื่อว่า Stage Mode เป็น Mode ที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายงานแสดงสดโดยเฉพาะ โดยเมื่อเราเข้ามาในโหมดนี้แล้ว ตัวกล้อง จะพยายาม คุม Shutter ให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ในแต่ละสภาพแสง เพื่อให้ภาพที่ออกมา มีความคมชัด จับ Motion ของ นักแสดง นักดนตรี บนเวทีได้นิ่ง
และ ยังขยายประสิทธิภาพในการ Zoom ด้วย Video จากปกติจะได้ในระยะ 20x ถ้าเข้ามาใช้โหมดนี้ จะไปได้ไกลถึง 30x กันเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ระยะ Zoom Video ของ vivo X200 Pro ขึ้นไปอยู่บนหัวแถวของสมาร์ทโฟน Premium Flagship ในปีนี้เป็นที่เรียบร้อย
ULTRA WIDE : กล้องมุมกว้าง 50MP | ISOCELL JN1 | AF
มาต่อกันที่กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 50MP ที่ใช้ Sensor ISOCELL JN1 ตัวนี้กันครับ ทั้งรุ่นน้อง vivo X200 และรุ่นพี่ vivo X200 Pro ใช้ Sensor และเลนส์แบบเดียวกัน รู้รับแสงกว้างเท่านั้น ซึ่งถึงแม้ว่าจะเห็น Spec มันเหมือนกันขนาดนี้ แต่ภาพที่ออกมานั้น มีความต่างกันอยู่เล็กน้อยนะครับ
ภาพที่ได้จากกล้อง Ultra Wide Angle ในรุ่น Pro จะมี Contrast ที่เข้มกว่าของ vivo X200 เล็กน้อย เหมือนจะมาจากการที่ Software ในการวัดแสง ของ vivo X200 จะวัดออกมาสว่างกว่า และ Software HDR จะขุดเงามากกว่า ทำให้ในภาพรวมเราจะรู้สึกว่า ภาพจากกล้อง Ultra Wide Angle ใน X200 จะสว่างกว่า
องศาในการรับภาพไม่ได้กว้างมากนัก โดยมี Focal Length อยู่ที่ 15mm และ มี Software Perspective Correction มาช่วยแก้ Distortion ในภาพให้แบบอัตโนมัติ สำหรับคุณภาพไฟล์ในช่วงกลางวัน ทำได้ดีทั้งคู่ ทั้งการถ่ายภาพตามปกติ และการถ่ายภาพย้อนแสง การจัดการพวก Chromatic Abberation ก็ทำได้ดี ไม่เจอขอบเขียว ขอบม่วง
Dynamic Range ที่ทำงานควบคู่กับ Auto HDR เติมรายละเอียดในส่วนเงาขึ้นมาได้กำลังดี แต่ถ้าเป็น vivo X200 จะขุดเงามากกว่ารุ่น Pro อยู่นิดหน่อย และด้วยการที่ขุดเงาขึ้นมาเยอะนี่แหละ ในบางสภาพแสง เราอาจจะเห็น Noise ตามมุมภาพได้บ้างนะครับ
LOW LIGHT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
มาต่อกันที่ถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือ Low Light Photography กันบ้างนะครับ ปัจจุบันเนี่ย Night Mode ใน vivo X200 Series ถูกยุบรวมไปอยู่กับ Landscape Mode เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ หรือ เราจะใช้ Mode Auto ปกติในการถ่ายก็ได้ เพราะ Software กล้อง จะทำการ Process ภาพแบบ Night Mode ให้เราอัตโนมัติเลย ไม่ว่าจะถ่ายอยู่ในระยะ Focal Length เท่าไหร่ก็ตาม
สำหรับลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพใน Low Light Situation ของ vivo X200 Series ทั้ง 2 ตัวนี้ จะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ก็คือ ตัวรุ่นน้อง vivo X200 จะมีการ Boost ความสว่าง สีสัน และ เติม Sharpness เติม Clarity มากกว่ารุ่นพี่แบบรู้สึกได้ ทำให้ภาพที่ออกมา จะคล้าย ๆ กับ Night Mode ใน vivo X100 นั่นแหละ แต่ว่าจะมีการจัดการ Noise ที่ดีขึ้น
แต่ถ้าเป็น vivo X200 Pro การ Process จะดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าตอน vivo X100 Pro มาก น่าจะใกล้เคียงกับ vivo X100 Ultra เลย ก็คือ พยายามจะทำให้การถ่ายกลางคืนยังดูเป็นกลางคืนอยู่ ไม่ Boost ความสว่าง และสีสันขึ้นมามากนัก จะเติม Sharpness และ Clarity เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การจัดการ Noise เนี่ย แก้วว่าพอ ๆ กัน ไฟล์ใสขึ้น
สำหรับคุณภาพไฟล์ในการถ่ายภาพช่วงกลางคืน ถ้าเป็น vivo X200 Pro กล้องหลัก และ กล้อง Telephoto แก้วถือว่า คุณภาพไฟล์พอ ๆ กันเลย สีสันที่ได้ Detail ที่ได้แทบไม่ต่าง และเป็นกล้อง Periscope Telephoto ที่ถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ดีที่สุดแล้วตอนนี้ ไฟล์ใส เก็บสี เก็บแสงได้ดี
แก้วพกไปถ่ายภาพที่ฉงชิ่งประเทศจีนมาเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คือ แก้วไปเดินอยู่ถนนริมแม่น้ำในวันที่แบบ Scene ที่เห็นตรงหน้า มัน Futuristic มาก Mood มันแบบ Blade Runner , Cyberpunk สุด ๆ ทั้งหมอกลง ทั้งฝนตก ซึ่งมัน Challenge มากสำหรับกล้อง Telephoto ตอนกลางคืน แต่บอกเลยว่า vivo X200 Pro เอาอยู่ครับ ในตัว จิตนาการถึง Scene แบบไหน ถ่ายไปเลยไม่ต้องกลัว
คุณภาพไฟล์ในการถ่ายภาพตอนกลางคืน ของ vivo X200 ก็คือว่าดีเลยนะ ทั้งกล้องหลัก และ กล้อง Telephoto เลย เจอที่แสงน้อย สภาพแสงแย่ ๆ White Balance ก็ยังทำงานได้แม่นยำเหมือนเดิม
ที่แก้วเก็บ Ultra Wide Angle ไว้มาพูดท้ายสุดเนี่ย เพราะว่าทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็น vivo X200 Pro และ vivo X200 การถ่ายภาพกลางคืนออกมาได้คุณภาพไฟล์พอ ๆ กัน ถามว่าแก้วพอใจไหมกับคุณภาพไฟล์ที่ได้ ก็ถือว่าโอเค และดีกว่าเรือธงหลายตัวในปีนี้ แต่อย่างที่แก้วพูดบ่อย ๆ ISOCELL JN1 มันใช้มานานมากแล้ว
อยากจะได้ LYT-600 หรืออย่างน้อย ๆ ก็เป็น IMX882 ก็ได้ เพราะต้องยอมรับว่าในบางสภาพแสง ISOCELL JN1 มันเอาไม่อยู่จริง ๆ ต้องเร่ง ISO ขึ้นเยอะ ซึ่งพอเร่งขึ้นเยอะ มันก็ทำให้ภาพที่ได้ มี Noise ตามมา พอ Noise Reduction ทำงานหนัก ภาพก็จะสูญเสียรายละเอียดมากตามไปด้วย รอนะครับ รุ่นหน้า อัพเกรดมาให้ชื่นใจหน่อย
นอกจากนั้น พวก Mode Long Exposure การเปิดรับแสงนาน ในรูปแบบต่าง ๆ ก็มีมาให้ครบ ในทั้ง 2 รุ่นเลย ตั้งแต่การถ่ายลากเส้นไฟ | การถ่าย Motion ผู้คน | การถ่ายดาว มีให้ครบ และสามารถใช้งานกลับกล้องหลังได้ทุกตัว ในหลากหลายระยะอีกด้วย
RAW File Performance : ประสิทธิภาพของ RAW File
เรามาต่อกันที่ RAW File Performance ใน vivo X200 Series กันบ้างนะครับ ใน vivo X200 Series เราสามารถใช้งาน RAW File ได้ในกล้องหลังทุกตัว มีรูปแบบของ RAW File ให้ได้ใช้งานกัน 2 แบบด้วยกัน ก็คือ Sensor RAW และ SRAW หรือ Computational RAW และในครั้งนี้ รุ่นน้องอย่าง vivo X200 ก็รองรับ SRAW เหมือนกับรุ่นพี่ ตัว Pro เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ตัว Pro ก็ยังคงต้องไว้ลาย ความเทพ เหนือรุ่นน้องอยู่วันยังค่ำ เพราะในครั้งนี้รองรับ High Resolution RAW แล้ว โดยจะสามารถถ่ายได้ที่ 50MP ในกล้องหลัก และกล้อง Telephoto 3.7x ทำให้ขนาดไฟล์โดยเฉลี่ย ใหญ่ทะลุโลกไปเลยอยู่ที่ 95mb
คุณภาพของ SRAW ในกล้องหลัก ของ vivo X200 Series ทั้ง 2 ตัว ทำได้ดีมากในแง่ของความยืดหยุ่น และ Dynamic Range ที่เก็บมาได้ แต่สมมุติว่าตอนเราถ่าย เราเผลอวัดแสงติด Under มา จนมีส่วนเงาในภาพเยอะ เวลาเอาไฟล์มาขุดต่อ กล้องหลักของ vivo X200 Pro จะได้รายละเอียดที่ดีกว่า และมี Noise ที่ต่ำกว่า ของ vivo X200
ส่วนคุณภาพของ SRAW ในกล้อง Telephoto จุดนี้จะค่อนข้างเริ่มต่างแล้ว เพราะด้วย Sensor ISOCELL HP9 ที่ทั้งขนาดใหญ่กว่า กับชิ้นเลนส์ที่มีคุณภาพสูงกว่า ทำให้ RAW File ในกล้อง Telephoto ของ vivo X200 Pro จะดีกว่ารุ่นน้องทุกมิติเลย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้ง นับจาก vivo X90 Pro+ ที่แก้วรู้สึกอยากถ่ายภาพ Portrait โดยใช้ RAW File นอกจากไฟล์จะยืดหยุ่นดีแล้ว มิติภาพ การละลายฉากหลังก็ใช้ได้เลย
คือ SRAW ในกล้อง Telephoto 3.7x ของ vivo X200 Pro มันโหดในระดับที่ว่า เอามาถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือในช่วงเวลากลางคืนได้แบบ คิดไปเลยว่ามันเป็นไฟล์ JPEG เพราะทั้งความยืดหยุ่น และการจัดการ Noise มันเอาอยู่จริง ๆ
สำหรับรุ่นน้อง vivo X200 ก็ไม่ต้องน้อยใจไป อาจจะไม่ได้สุดตารางเหมือนกับตัว Pro ก็จริง แต่สำหรับแก้ว มันยังเพียงพอต่อการใช้งาน และดีกว่า RAW File ของสมาร์ทโฟนเรือธงหลาย ๆ ตัวในระดับราคาที่เท่ากันด้วยซ้ำ
ส่วน SRAW ในกล้อง UItra Wide Angle ทั้งความยืดหยุ่น และ Dynamic Range ถือว่าใช้ได้ แก้วแนะนำว่าให้ใช้ในเฉพาะตอนกลางวัน หรือในที่ที่มีแสงเพียงพอจะดีที่สุด เพราะเกิด Noise ได้ค่อนข้างง่าย
ที่สำคัญก็คือ RAW ในกล้อง UItra Wide Angle ในทั้ง 2 รุ่น ไม่ได้มีการแก้ Distortion หรือ การบิดเบี้ยวของภาพมาให้ เหมือนกับการถ่ายภาพด้วยไฟล์ JPEG ทำให้ คนที่อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์มากในการ Process ไฟล์จะรู้สึกว่า มันทำงานด้วยยากไปนิดหนึ่งครับ
FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 32MP
ดูภาพในกล้องหลังกันไปครบถ้วนแล้ว เรามาดูกล้องหน้ากันบ้างครับ vivo X200 Series ยังคงใช้ Sensor ในกล้องหน้าตัวเดิม ความละเอียด 32MP และที่น่าเสียดายก็คือ กล้องหน้าตัวนี้ ยังเป็นในรูปแบบ Fix Focus เหมือนเดิม จะมีแต่ vivo X100 Ultra เท่านั้น ที่มีกล้องหน้า Autofocus ตัวเดียว ในปี 2024 นี้ สำหรับ vivo X Series
องศารับภาพของกล้องหน้าอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้ถึงขนาดว่าเป็น Ultra Wide สามารถ Selfie กับเพื่อน คนสองสามคน โดยไม่ต้องยื่นแขนออกไปไกลมากนัก แต่ถ้าหากถ่ายเป็นกลุ่มใหญ่ ก็ต้องยื่นกันไกลสักนิดหนึ่งนะครับ
Skintone ในกล้องหน้า แก้วรู้สึกว่า มีความใกล้เคียงกับ Mode Portrait ในกล้องหลังมากขึ้น คือ หน้ายังสวย เนียนเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่จะไม่ได้ดู Over process หรือบิวตี้จนเกินไป มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนั้น เรายังสามารถจะ Custom Beauty Mode ได้เยอะเหมือนเคย ปรับสีผิว ปรับหน้าเรียว ลบสิวต่าง ๆ ทำได้หมดเลย
และ ในกล้องหน้าทาง vivo ได้ใส่ ZEISS Bokeh มาให้ด้วย โดยให้มาถึง 5 แบบด้วยกัน ถ้ารวม Bokeh แบบ Classic เข้าไป ก็เป็น 6 แบบ ซึ่งแก้วคิดว่า เราคงหาลูกเล่นแบบนี้ จากสมาร์ทโฟนเรือธงแบรนด์ไหนไม่ได้อีกแล้ว จัดเต็มมากจริง ๆ
คุณภาพไฟล์ในที่แสงน้อย ถือว่าโอเคมากเลยนะ สามารถถ่ายออกมาได้ Detail ที่ดี รายละเอียดเล็ก ๆ พวกเส้นผม หรือ Texture เสื้อผ้า ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
หรือ ถ้า Scene ที่เราถ่ายมันมืดจริง ๆ สามารถใช้ Flash จากแสงหน้าจอเข้ามาช่วยในการถ่ายก็ได้ครับ
การละลายฉากหลัง ใน Mode Portrait ในกล้องหน้า พวกการตัดขอบ การเก็บปลายผมดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการไล่ระดับการเบลอ ตามมิติภาพที่ดีเท่ากับกล้องหลังอยู่ดี แต่สำหรับการใช้งาน Selfie ทั่ว ๆ ไป ก็ทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของความเป็น vivo แล้วครับ
VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ
เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ทาง vivo มีการ Upgrade ให้กับผู้ใช้งานมากที่สุดแล้วในปี 2024 นี้ โดยเฉพาะในตัว Pro เนี่ยถือว่า โดดเด่นมาก ๆ ไม่ใช่แค่เก่งกว่ารุ่นที่แล้วนะ แต่เผลอ ๆ จะเก่งเป็นอันดับต้น ๆ ลบล้างความเชื่อเดิม ๆ ว่า vivo ถ่ายวีดีโอไม่ดีไปได้เลย
โดย vivo X200 Pro จะถ่ายวีดีโอ Resolution สูงสุดได้อยู่ที่ 8K 30fps ในกล้องหลัก และ 4K 60fps ได้ในกล้องทุกตัว ไปจนถึง รองรับการถ่าย Video แบบ Dolby Vision โดย Resolution ไม่ Drop และสามารถสลับไปมาระหว่างกล้องหน้า และกล้องหลังได้ โดยที่ไม่ต้องหยุดถ่าย ส่วน Resolution สูงสุดของ Video ใน vivo X200 รุ่นน้องจะอยู่ที่ 4K 60fps เท่านั้น และไม่สามารถถ่ายเป็น Dolby Vision ได้นะครับ ไม้ตายที่สุด ที่ถือว่าเป็นจุดต่าง กับเรือธงหลาย ๆ ตัวในปีนี้ ก็คือ การถ่ายวีดีโอ 4K 120fps ได้ในกล้องหลัก และกล้อง Telephoto ซึ่งเรือธงในปีนี้นอกจาก iPhone 16 Pro | Pro Max แล้ว ไม่มีใครทำได้ ทำให้นี่เป็น Android Phone ตัวแรกที่ถ่าย 4K 120fps ได้นั่นเอง ซึ่งทำให้คนทำงานสาย Videography ที่อยากได้ Insert เป็น Slo-mo สวย ๆ เอาประสิทธิภาพตรงนี้มาใช้ได้
อีกหนึ่งจุดที่ได้รับการปรับปรุงมา ก็คือ Cinematic Portrait Video หรือ Video ละลายฉากหลัง ในตัว vivo X200 Pro ถึงแม้ Resolution จะเท่าเดิมก็คือ 4K 30fps ในกล้องหลัก และกล้อง Telephoto แต่ในครั้งนี้สามารถใส่ Lut สีสันได้ | เลือกปรับ Shape Bokeh เป็นแบบปกติ หรือเป็น แบบ Cinematic ZEISS Bokeh | ได้ Beauty Mode ก็เปิดได้ | ไปจนถึง สามารถสร้าง Picture Profile ส่วนตัวขึ้นมาเลยก็ทำได้เช่นกัน ส่วน ในรุ่นน้อง vivo X200 จะทำได้เหมือนกันหมด แต่ Resolution จะเหลือแค่ 1080 30fps เท่านั้นนะครับ ส่วนตัวแก้วคิดว่า เพราะ Chip ประมวลผลภาพ ยังเป็น V2 อยู่ เลยสู้ตัว Pro ที่เป็น V3+ ไม่ได้
ในเรื่องของการ Zoom ในโหมดวีดีโอ ถ้าเป็นแบบ Auto ปกติ ระยะการ Zoom สูงสุด จะอยู่ที่ 20x สำหรับรุ่น vivo X200 Pro และ 15x สำหรับ vivo X200 แต่ถ้าใครเป็นสาย Concert อยากจะ Zoom ไปไกลมากกว่านั้น ทุกคนสามารถไปใช้งาน Mode ใหม่ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นมาให้ ก็คือ Stage Mode ที่สามารถพาเราไปได้ไกลสูงสุดถึง 30x และไม่ใช่แค่ซูมภาพ แต่ยังซูมเสียงตามภาพให้กับเราอีกด้วย ซึ่งตัว Stage Mode นี้จะมีแค่ในรุ่น Pro เท่านั้นนะครับ
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่แก้วรอให้ vivo เอากลับมาใส่ให้ vivo X Series Global Version สักที ก็คือ Video LOG Profile 10bit ที่สามารถใช้งานได้ในกล้องหลังทุกตัว และสามารถรีด Bitrate Video สูงสุดออกมาที่ 120mbps ได้ สำหรับ 4K 30fps และ 150mbps สำหรับ 4K 60fps ในปีนี้ แก้วไม่เห็น สมาร์ทโฟน Android ตัวไหนในตลาด จะทำแบบนี้ได้ นอกจากรุ่นพี่ในค่ายตัวเอง อย่าง vivo X100 Ultra ขอบคุณที่ ไม่ได้เอาใจแฟนๆ สาย Auto จนลืม Professional Users
PERFORMANCE | ประสิทธิภาพ
หลังจากที่หลาย ๆ คนได้เห็น Performance Score จากหลาย ๆ สำนักกันไปแล้ว เวลาใช้งานจริง จะเป็นยังไงบ้าง ? ถ้าให้แก้วสรุปสั้น ๆ 2 รุ่นนี้ ประสบการณ์ที่ได้แทบไม่ต่างกันเลย อย่างแรกคือ Chipset Dimensity 9400 จูนมาใน Speed ที่พอ ๆ กัน และมี RAM ที่ต่างกัน 4GB เท่านั้น
ทำให้การใช้งานทั่วไป ที่เป็น Daily use ในชีวิตประจำวันนั้น ให้ความลื่นไหลที่ไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น การใช้งาน Social Media การดู Content จาก Platform ต่าง ๆ ไปจนถึง การเปิดพวก Multi Windows ก็ให้ประสิทธิภาพที่ดี และ Smooth ไม่ต่างกัน
ตัว Funtouch OS15 สำหรับแก้ว มันคือการอวตารของ OriginOS 5 ถึงแม้จะยังไม่เหมือนกัน 100% แต่ความสามารถในการ Custom หน้า Home ไปจนถึง UI ต่าง ๆ มีความเรียบง่าย สบายตามากขึ้นกว่าตอน Funtouch OS14 มากทีเดียว อาจจะมีแค่ส่วนที่เป็น Control Station ที่ยังหน้าตาเหมือนเดิม ถ้าปรับให้เป็นเหมือน Origin OS หา Font ไทยสวย ๆ มาลง แก้วว่า จะสวยขึ้นอีกเป็นกอง
ประสิทธิภาพในเรื่องของการรับสัญญาณ สำหรับแก้วถือว่าดีขึ้น ด้วยการเพิ่มเสาสัญญาณ ให้มากกว่าตอน vivo X100 Series ห้องทำงานแก้วอยู่ชั้น 2 ส่วน Router อยู่ชั้น 1 ต่อ WiFi ที่เป็น 5Ghz ทั้งความเสถียร และ Speed ที่รับได้ คือแรงแบบไว้ใจได้เลย แต่ตัว Pro มักจะได้ Speed สูงสุดที่มากกว่ารุ่นน้อง อยู่เกือบ ๆ 15% เลยครับ
ยุคของ AI มาถึงแล้ว ทาง vivo ก็ไม่ได้ปล่อยให้คู่แข่งนำหน้าไปโดยไม่ทำอะไร ใน vivo X200 Series ได้นำ AI จากทาง Google Gemini มาใส่ไว้หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Circle to Search ที่พวกเราน่าจะคุ้นเคยกัน
AI ที่ใช้ในการทำงานก็มีมาให้เช่นกัน จะอยู่ใน App Note โดยจะใช้ชื่อว่า AI Creation ซึ่งในนั้นก็จะมี AI ที่ช่วยจัดเรียง Layout ของบทความ | AI Summarize ที่ช่วยย่อเนื้อหายาว ๆ ให้สั้นและกระชับได้ | AI ที่แปลงเนื้อหาให้ออกมาเป็น To-dos ได้ ไปจนถึง AI Transcript ที่ช่วยถอดความจากเสียงที่ได้ยิน ได้หลากหลายภาษา
ทีนี้ในเรื่องของการเล่นเกมเป็นยังไงบ้าง เกมที่แก้วเล่นอยู่ตอนนี้ก็จะมี King Arthur | Gran Saga | เราสามารถปรับ Graphic Setting ได้ในระดับสูงสุด Frame Rate สูงสุดเท่าที่เกมนั้นจะเปิดได้ และยังสามารถรักษาความ Stable นี้ ไปได้อย่างต่ำ ๆ คือ 30 นาทีในอุณหภูมิห้องปกติ และ เกือบ 1 ชั่วโมงในห้องแอร์ โดยไม่ว่าจะเป็น vivo X200 Pro หรือ vivo X200 การเล่นเกม ทำออกมาได้พอ ๆ กัน แต่แก้วจะให้ในเรื่องการจับถือ vivo X200 จะถนัดกว่า เพราะ Module กล้องไม่มาดันนิ้วจนเกินไป
การควบคุมความร้อน และการใช้พลังงานระหว่างเล่นเกมก็ทำได้ดี โดยที่ อุณหภูมิสูงสุด จะไม่เกิน 45 องศาเซลเซียส สำหรับเกมที่เป็น High Graphic ส่วนถ้าเป็นเกมเบา ๆ ก็จะไม่เกิน 42 องศาเซลเซียส การใช้งานแบตเตอรี่โดยเฉลี่ย อ้างอิงจากเกมที่แก้วเล่นอยู่ที่ 13% ต่อชั่วโมง
ทีนี้ในเรื่องของ Battery คือ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตาม สามารถใช้งานได้จบวันแบบสบาย ๆ ต่อให้เป็นวันที่เราใช้งานหนัก เปิดแสงหน้าจอเยอะ ใช้กล้องเยอะ Screen on time ต่ำ ๆ ที่ทำได้เลย คือ 7 ชั่วโมงขึ้นไปแน่นอน ส่วนถ้าเป็นวันที่เราใช้งานเบา ๆ ไม่ได้หนักอะไรมาก แบตเตอรี่อยู่ยาว ๆ ข้ามวัน ก็มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติเลยครับ เวลาเปิด Standby ไว้ตอนกลางคืน ใช้แบตเตอรี่น้อยมาก ๆ
ความเร็วในการชาร์จของ vivo X200 Series นั้น รองรับ vivoFlashCharge 90W ใช้เวลา 0-100% ที่ 38- 42 นาที รวมไปถึงรองรับการชาร์จไร้สายที่ 30W ซึ่งลดน้อยลงกว่าใน Generation ที่แล้วพอสมควร เป็นจุดที่ค่อนข้างน่าเสียดายเหมือนกัน แต่เอาจริง ๆ แก้วแทบไม่ได้ใช้ Wireless Charge เลยหลัง ๆ มานี้ เพราะเสียบสายไว้ครู่เดียวก็เต็มแล้ว
OVERVIEW & OPINION
สำหรับแก้วแล้ว vivo X200 Series คือ การ Refresh ส่วนที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดด้อย หรือจุดที่ยังไม่สุดใน Generation ที่แล้ว ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานครอบคลุมมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องกล้องนะ แต่รวมถึง Hardware และ Software ของตัวเครื่องในหลาย ๆ จุด เราได้หน้าจอใหม่ เราได้ลำโพงคู่ตัวใหม่ เราได้ชุดกล้องหลังใหม่ ไปจนถึงความจุแบตเตอรี่ ก็ได้รับการยกระดับขึ้น เป็นเรือธงที่สามารถจะยืนอยู่หัวตารางไปได้อีกหลายปี
ในแง่ของการออกแบบตัวเครื่อง หลาย ๆ จุดอาจจะไม่ได้มีปรับเปลี่ยนมากนัก เรายังมี Design Module กล้องแบบทรงกลมเหมือนเดิม Frame ตัวเครื่องยังเป็น Aluminium เหมือนเดิม แต่ vivo ก็ได้หยิบ เฉดสีใหม่ ๆ ที่มีความสวยงาม และมีเอกลักษณ์มาก ๆ มาใส่ให้แทน จุดที่เปลี่ยนแปลงไป และส่งผลต่อการใช้งานมากที่สุด ก็คือ รูปแบบหน้าจอ เปลี่ยน 3D Curved มาเป็น Quad Curved Display แล้ว ก็คือ ขอบจอทั้ง 4 ด้านจะมีความ โค้งเล็ก ๆ เท่านั้น เวลาใส่เคสใช้งาน Feeling ก็คือ จอแบนดี ๆ นี่เองครับ
ขุมพลังที่ใช้ในการขับเคลื่อน จะเป็น Dimensity 9400 ซึ่งทาง vivo ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าการปรับจูน SoC ของ Mediatek นั้น vivo ทำได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน เอาจริง ๆ ดีมาตั้งแต่ตอน vivo X100 Series แล้วด้วยซ้ำ เราได้ Performance ตัวเครื่องที่แรง ความร้อนน้อย และแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวตลอดวัน ( บางครั้งอยู่ยาวข้ามวันได้ด้วยซ้ำ ) ความแตกต่างของ ทั้ง 2 รุ่น จะมีแค่เรื่องความจุ RAM และ Chipset ประมวลผลภาพ ที่ vivo X200 จะได้เป็น V2 ส่วน vivo X200 Pro จะได้เป็น V3+ และจุดนี้เองก็ทำให้ประสิทธิภาพกล้องของ 2 รุ่นนี้ต่างกัน
ในเรื่องของกล้อง ปีนี้ เป็นปีที่ vivo เปลี่ยน Sensor ในชุดกล้องหลังเกือบทั้งหมด vivo X200 เราได้ IMX921 ในกล้องหลัก และ IMX882 ในกล้อง Telephoto ส่วนใน vivo X200 Pro เราได้ Sensor ใหม่ที่ vivo พัฒนาร่วมกับ Sony อย่าง LYT-818 ในกล้องหลัก และ Highlight คือ กล้อง Periscope Telephoto 200MP ที่ใช้ Sensor ISOCELL HP9 ที่ยกมาจาก vivo X100 Ultra เลย ซึ่งแก้วยกให้เป็น กล้อง Periscope Telephoto ที่ดี และอเนกประสงค์ในการใช้งานมากที่สุดในตลาดแล้ว ของปี 2024
นอกจากนั้น vivo เอง มองเห็นจุดด้อยที่ปล่อยทิ้งมานานหลายปี ก็คือ ในเรื่องของการถ่าย Video ปีนี้ถ้ามีใครยังบอกว่า vivo ถ่าย Video ไม่ดีนี่ คือ ไม่ใช่ละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Resolution ที่ถ่ายได้สูงสุดที่ 8K 30fps ในรุ่น Pro และ Standard ทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ 4K 60fps ทั้งกล้องหน้า กล้องหลัง เสียงไมโครโฟนดีขึ้น กันสั่นดีขึ้น แต่ความพิเศษนั้น ถูกยกไปให้รุ่น Pro เพราะทั้ง รองรับ Dolby Vision ถ่าย 4K 120fps ได้ และ vivo เอาใจคนทำงาน Professional ด้วยการใส่ LOG Profile 10bit เข้ามาให้ ที่ใช้งานได้ในกล้องหลังทุกตัว รีด Bitrate Video ออกมาได้ถึง 150mbps
ปิดท้ายด้วย Operation System ที่มีการปรับปรุงมาครั้งใหญ่เหมือนกัน อย่างเจ้า Funtouch 15 มีการหยิบยืม Element การออกแบบบางส่วนมาจาก OriginOS 5 ดูสวยงาม เรียบง่ายมากขึ้น ปรับปรุง Animation ให้มีความรวดเร็ว กระชับมากขึ้น ไปจนถึง AI Features จาก Google Gemini ทั้ง Circle to Search หรือ จะเป็น AI ที่ใช้ในการทำงาน อย่างการถอดความ สรุปความ แปลภาษา มีให้ใช้ครบถ้วน
ราคาวางจำหน่าย vivo X200 Series
• vivo X200 5G (12GB + 256GB) ราคา 29,999 บาท
• vivo X200 Pro 5G (16GB + 512GB) ราคา 39,999 บาท
วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2024 เป็นต้นไป ที่ร้านค้า Official Shop ทั่วประเทศ
โปรโมชั่น ! เมื่อซื้อสินค้าทั้งสองรุ่น รับฟรี
• vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999.-)
• Premium Case (มูลค่า 890.-)
• โปรเครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่ จากราคาประเมินสูงสุด 8,000 บาท
สิทธิ์พิเศษสำหรับ X200 Series 5G จะได้รับ Premium Case | vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง โปรเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มจากราคาประเมินสูงสุด 8,000.-
ผ่านช่องทางการจำหน่าย ดังนี้ vivo Brandshop | vivo official website รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ผ่าน Shopee, Lazada, TikTok และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
อ่านรีวิวอื่นๆ ของ โมบายโฟโตกราฟเฟอร์
Website : www.mobilefotographer.com
Instagram : https://www.instagram.com/kaew.ravie
#vivoX200Series #ซูมชัดทุกเรื่องราว
Comments