top of page
  • รูปภาพนักเขียนแอดมินแก้ว

ลุยถ่าย Portrait กับ vivo X80 5G แบบ From day till night แสงแบบไหน ก็สนุกได้

สวัสดีครับทุกคน สำหรับวันนี้แก้วจะพาทุกคนไปถ่ายภาพ Portrait อย่างมืออาชีพ ด้วย vivo X80 5G โดยที่จะเริ่มกันตั้งแต่เช้า จนถึงกลางคืนกันไปเลย เรามาดูกันสิว่า vivo X80 5G พร้อม Bokeh จาก ZEISS และ Beauty Mode ที่มีความเก่งมาก ๆ จะทำให้เราถ่ายภาพออกมาได้สวยขนาดไหน ไปดูกันเลยครับ

ชุดกล้องหลังอันทรงพลัง 3 ตัว พร้อม T* Coating

หลายคนคิดว่า จะมาเล่น vivo X80 Series 5G ทั้งที ต้องตัว Pro เท่านั้นหรือเปล่า ? ต้องบอกว่า vivo X80 5G ก็มีดีไม่น้อยไปกว่าตัว Pro เลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Sensor กล้องตัวใหม่ล่าสุดจาก SONY อย่าง IMX766 และ T* Coating ให้ทุกการย้อนแสง ไร้ Ghost ไร้ Flare ที่ทำให้ภาพฟุ้งเกินไปมากวนใจ

  • MAIN CAMERA 50MP (f/1.75), IMX886 OIS

  • ULTRA WIDE ANGLE CAMERA 12MP (f/2.0)

  • MEDIUM TELEPHOTO 12MP (f/1.98) Optical 2x OIS

ZEISS Bokeh อันมีเอกลักษณ์ทั้ง 5 แบบ

ตั้งแต่การร่วมมือของ vivo กับ ZEISS ใน vivo X60 Series 5G ที่ได้มีการส่ง Bokeh ในสไตล์ Biotar ออกมาสู่สายตาผู้ใช้ จนติดใจใครหลาย ๆ คนกันไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการปล่อย Bokeh ออกมาเพิ่มถึง 3 ตัว ใน vivo X70 Series 5G ใน Generation นี้ vivo X80 Series 5G ก็ได้เพิ่ม ZEISS Cinematic Bokeh ที่นอกจาก ให้สัดส่วนภาพแบบ ภาพยนตร์แล้ว ยังมี Bokeh ทรง Oval แนวตั้งเหมือนเลนส์ Cinema อีกด้วย

  • Biotar 75mm | f/1.5

  • Planar 80mm | f/2.8

  • Sonnar 180mm | f/2.8

  • Distagon 28mm | f/2.0

  • ZEISS Cinematic

หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วถ้าเราถ่ายภาพใน Mode ปกติ โดยที่ไม่ได้ใช้ Portrait เข้ามาช่วย เน้นความสามารถของ Hardware ไปเลย จะยังสวยอยู่ไหม ? ก็ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ โดยกล้องหลักที่มีค่า f/stop ต่ำที่ 1.75 ทำให้มี Depth of field แล้ว Auto HDR ที่ทำงานได้แม่นยำ กดแสงดวงอาทิตย์ลงไปได้กำลังดี และเติมแสงที่ตัวแบบขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะ Sensor IMX866 ใน vivo X80 5G ทำ Dynamic Range มาได้ดีมาก

ทบทวนกันมาเพียงพอแล้ว เราไปถ่าย Portrait ด้วย vivo X80 5G ในช่วงเวลาต่าง ๆ กันดีกว่าครับ
Morning Light | แสงช่วงเช้า - สาย

เรามาเริ่มลุยกันตั้งแต่ 8 โมงหน่อย ๆ กันเลยครับ ภาพนี้แก้วจะใช้ เลนส์ Telephoto 2x 50mm ในการถ่าย พร้อมกับ Bokeh แบบ Biotar เลือกใช้ Medium Shot วางแสงที่ส่องเข้าหาตัวแบบ ทางด้านข้าง โดยไม่ให้เข้าตรง ๆ แสงบริเวณใบหน้าจะมีความนุ่มนวล ไม่มี Highlight หรือ ส่วนของ Shadow เยอะ จะเป็น Midtone เป็นส่วนใหญ่

ยังอยู่ในภาพแสงเดิม แต่เราเปลี่ยนมาใช้ Bokeh แบบ Planar Bokeh กันบ้างครับ มีความหมุนวนของ Bokeh ใกล้เคียงกับ Biotar แต่ว่าจำนวนของ Bokeh ที่ขึ้นมานั้นจะน้อยกว่า เหมาะกับ Shot ระยะกลาง ที่ถ่ายทั้งแบบ เต็มตัว และครึ่งตัวก็ได้

ในช่วงเดือน มิถุนายน ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ และความเข้มเปลี่ยนเร็วมาก ผ่านไปไม่นาน แสงเริ่มแข็งขึ้น ตั้งฉากมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้สร้างเงาออกมาได้เข้ม เหมือนช่วงเที่ยง หรือ บ่าย นะครับ อุณหภูมิของแสงยังมีสีขาวเป็นส่วนใหญ่อยู่กับให้ ภาพยัง และ Skintone ยังใสดีอยู่

มาต่อกันที่ Sonnar หนึ่งใน Bokeh ที่มีความ Creamy มากที่สุดจากทาง ZEISS เป็นจำลอง Depth of field จากเลนส์ Sonnar ที่มี Focal Length ที่ 180mm ทำให้เมื่อมารวมกับ Shot ที่เราถ่ายค่อนข้างจะ Close up ภาพจะดูเป็นธรรมชาติ

ก่อนที่เวลาจะผ่านไป และดวงอาทิตย์จะย้ายตำแหน่ง จนแสงเปลี่ยนอีกครั้ง เรามาลองใช้ Bokeh แบบ Distagon กันครับ ตัว Bokeh จะขึ้นเป็นเม็ด เล็ก ๆ ในระยะไกล ๆ มีความหมุนวนเล็กน้อย ไม่เท่ากับ Biotar

Mid-Day & Afternoon | แสงตอนเที่ยง จนถึงบ่าย

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 12.30 สภาพแสงเปลี่ยนแล้ว เราก็ย้าย Location มาที่หน้า Starbuck Davis กันบ้างครับ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์มาอยู่เหนือหัวพอดี ทำให้เงาจะมีความเข้มขึ้น และตกลงด้านล่าง โดยเฉพาะบริเวณใต้จมูก และใต้ตา เราไม่จำเป็นจะต้องให้ตัวแบบ โดนแสงแดด โดยตรง แต่เลือกที่มองหาต้นไม้สูง ๆ อาศัยแสงที่ส่องทะลุใบไม้ลงมากระทบตัวแบบแค่บางจุด สร้าง Dynamic ของแสงเงาให้มีความน่าสนใจขึ้นได้ ภาพนี้ใช้ Bokeh Biotar นะครับ

ถ้าจำเป็นจะต้องออกแดดจัง ๆ วิธีการแก้ปัญหาเรื่อง เงาตกใต้ตา เงาตกใต้จมูก เราสามารถให้ตัวแบบ เชิดคางขึ้น หรือ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็จะช่วยให้เงาน้อยลง แสงมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ในส่วนของ Bokeh ภาพนี้เลือกใช้ Distagon ครับ

อีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหา แสงแข็ง เงาแข็ง ในตอนเที่ยง และ ตอนบ่าย ให้เรารอจังหวะที่มีเมฆลอยผ่าน บดบังแสงดวงอาทิตย์พอดี โดยมันจะทำหน้าที่เป็น Diffuser ช่วยให้แสงที่แข็งนั้น นุ่มลง ได้ภาพที่ยังมี Dynamic ของแสง Highlight , Midtone , Shadow ครบถ้วนเหมือนเดิม แต่ Highlight จะไม่แข็งมากจนเกินไป ให้ Feel ภาพเหมือน Fashion Shooting

เวลาผ่านมาถึงช่วง 14.00 เราก็ย้าย Location กันอีกครั้งมาที่บริเวณท่าเตียนครับ เราจะเห็นว่าแสงในช่วงนี้มีความเข้มใกล้เคียงกับช่วงเที่ยง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ องศาของแสงที่ส่องลงมา จากที่เงาจะตกใต้จมูก หรือใต้ตา ตอนนี้จะเริ่มเฉียงขึ้นเล็กน้อยแล้ว ส่วนของ Bokeh เลือกใช้ Sonnar เพราะอยากได้การหมุนวนมาเล่นกับ ริ้วกำแพงด้านหลัง แต่ไม่ได้อยากได้ Bokeh ที่ดู ฉูดฉาดมาก

ช่วงบ่ายแดดแรง ๆ แบบนี้ แต่ถ้าจังหวะนั้นมีเมฆลอยผ่านมาพอดี บังแสงดวงอาทิตย์ไว้ ทำหน้าที่เป็นเหมือน Diffuser ช่วยให้แสงนุ่มลง เวลาเราถ่ายภาพมา ก็จะได้แสงเงาที่นุ่มนวลไม่แพ้กับช่วงสาย ๆ ในตอนเช้าเลยล่ะครับ

แดดแรง ๆ แบบนี้ เปลี่ยนมาใช้ กล้องตัวอื่นในการถ่าย Portrait บ้างดีกว่า Ultra Wide Angle ใน vivo X80 Series 5G นั้น สามารถที่จะเปิด Beauty Mode ไปพร้อมกันได้ด้วย คุณภาพของไฟล์ก็สูสีกับทุกกล้องเลย

ลองสลับมาใช้ ZEISS Cinematic Bokeh ดูบ้าง ด้วยความที่ฉากหลังมันไม่ได้มีแสงไฟ หรือแสงสะท้อนอะไร ทำให้ Bokeh ทรง Oval จะยังไม่เกิดขึ้นมา แต่จะได้ Bokeh ที่มีความ Creamy ละลายเนียน ๆ มาแทน

Evening Light | แสงช่วงเย็น

มีหลายคนค่อนข้างจะสงสัยว่า แสงช่วงเช้ากับแสงช่วงเย็นนั้นต่างกันขนาดไหน ? แน่นอนว่าในเรื่องของความนุ่มนวลของแสงนั้น แทบจะมีความใกล้เคียงกันเป๊ะ ๆ แต่ว่าในเรื่องของสีสันนั้น จะมีจุดแตกต่างอยู่เล็กน้อย คือ แสงช่วงเย็น จะให้ Skintone ที่สีสดกว่า และอมเหลือง อมส้มมากกว่า

อีกหนึ่งความสนุกของแสงในช่วงนี้คือ เราไม่จำเป็นที่จะต้องวางตัวนางแบบให้โดนแสงสีเหลืองของดวงอาทิตย์ที่กำลังตก ตรง ๆ ทั้งหมดก็ได้ แต่สามารถที่จะเลือกวางไว้ด้านใดด้านหนึ่ง เผื่อให้มีการเล่นแสงเงา บนร่างกาย และใบหน้า รวมไปถึง แสงที่กระทบบนเส้นผม จะเกิด Rim Light ได้ง่ายอีกด้วย

และสำหรับสายถ่ายย้อนแสง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะกับการถ่ายภาพแนวนี้มาก ชอบที่ถึงแม้ว่าตอนเราถ่ายย้อนแสง กล้องจะใช้ HDR เติมแสงในส่วนมืดในภาพขึ้นมาจนสว่างขึ้น แต่ไม่ได้สว่างจนดูลอย และไม่ได้พยายามกดแสง Highlight ลงจนภาพดูไม่เป็นธรรมชาตินะครับ จุดนี้คือ ทำได้ดีมากจริง ๆ

นอกจากนั้น ถ้าเราเลือก Location ที่เป็นริมน้ำ และเห็นตำแหน่งที่อาทิตย์ตกชัดเจน เราสามารถจะใช้ประโยชน์จาก แสงสะท้อนบนผิวน้ำ มาใช้เป็น Bokeh สวย ๆ ในภาพ ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้ดูน่าสนใจขึ้นก็ทำได้ครับ

เวลาเราใช้ ZEISS Cinematic Mode เราสามารถเลือกเลนส์ในการใช้ถ่ายได้ ไม่ต่างจาก Bokeh ตัวอื่น ๆ แต่เหมือนเป็น ไฟต์บังคับว่า การจะใช้สัดส่วนภาพแบบนี้ และ Bokeh ลักษณะแบบนี้ออกมาให้ดูสวยงาม Telephoto 2x 50mm เป็น Choice ที่ดีที่สุด

อีกหนึ่ง ฟีเจอร์ย่อยใน Portrait Mode อันหนึ่งที่แก้วว่าเจ๋งดี ( ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ 555 ) ก็คือ Camera Panning วิธีการถ่ายก็คือ ให้เราแพนกล้องตามวัตถุ หรือ บุคคลที่เคลื่อนไหว ในจังหวะเดียวกัน ในระหว่างนั้นให้กดถ่ายภาพไปด้วย ผลที่ได้คือ ฉากโดยรอบนั้นจะกลายเป็น Motion Blur ส่วนตัวแบบ หรือวัตถุที่เราเล็งเอาไว้ จะยังมีความคมชัดอยู่ครับ

Magic Hour Lighting | แสงช่วงเปลี่ยนผ่านไปกลางคืน

ช่วงเวลาหลังจากที่ดวงอาทิตย์นั้นลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยังมีแสงหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ท้องฟ้าจะมีความสว่าง และมีสีสันอยู่ แสงสีแดงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนโดนเมฆ ไล่ Gradient เป็นฉากหลังได้สวยงาม ถึงแม้ว่าจะอยู่ใน Depth of field ก็ตาม

วิธีการถ่ายภาพในช่วงเวลานี้ ให้ได้ทั้งฉากหลังสีสวย ๆ และ ตัวนางแบบที่ยังสว่างคมชัด เห็นรายละเอียดผิวชัดเจน ให้เรามองหาแหล่งกำเนิดแสงรอบ ๆ ตัว อย่างในภาพนี้บริเวณนั้นมีโคมไฟประดับท่าเรือ ที่มีขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่มาก ทำให้เราอาศัยแสงจากสิ่งเหล่านี้มาส่องตัวแบบได้ ช่วยให้ทุกส่วนคงรายละเอียดเอาไว้ได้ดี

Night Time | ถ่ายภาพ Portrait ในเวลากลางคืน

การถ่ายภาพ Portrait ในเวลากลางคืนที่ฟ้ามืดสนิทไปแล้ว ต้องมองหาจุดกำเนิดแสงรอบ ๆ ไว้ให้ดี ซึ่งถ้าไม่มีแก้วแนะนำว่า ง่ายที่สุดเลยนะ อย่างภาพนี้แก้วเลือกเอา Smartphone อีกหนึ่งเครื่อง เปิดแสงจอสว่างจุด แล้วเปิดภาพสีขาว นำไปส่องตัวแบบ โดยเลือก Direction ของแสงตามที่เราต้องการ หรือ ใครมี Tablet ตัวเล็ก ๆ ก็นำมาใช้ได้เหมือนกัน ยิ่งขนาดจุดกำเนิดแสงใหญ่ แสงที่ออกมายิ่งนุ่มนวลขึ้น

ภาพเมื่อกี้เป็นกล้องหลักที่มีค่า f/stop ค่อนข้างต่ำ เราจะเห็นความใสของไฟล์ภาพที่ชัดเจน แต่พอเราเกิดอยากจะใช้กล้อง Telephoto ขึ้นมา เพราะอยากจะดึงไฟที่ตัววัดในฉากหลังให้ดูใหญ่เต็ม Frame มากขึ้น ก็ให้เราเลื่อนจุดกำเนิดแสงเข้ามาใกล้ตัวแบบมากกว่าเดิม ตัวแบบจะได้รับแสงสว่างที่เพียงพอ

และ เรามีปิดท้ายกันด้วย ZEISS Cinematic Mode พร้อม Len Flare เท่ ๆ แบบนี้ครับ

RESULT & OPINION

ใครที่ยังลังเลว่า จะมาใช้ vivo X80 Series 5G แต่งบไม่ไหวจะไปตัว Pro จะถ่ายภาพออกมาได้ยอดเยี่ยมเหมือนกันไหม ? ก็ต้องบอกว่า จากการใช้งาน 2 เครื่องควบคู่กันของแก้วมาตลอด 1 เดือน ในเรื่องของการถ่ายภาพนั้น vivo X80 5G ให้คุณภาพของการถ่ายภาพที่สนุก และมีคุณภาพไม่แพ้กับรุ่น Pro เลย จะต่างกันก็เพียงเรื่องของ ตัว Periscope Telephoto 5x ซึ่งถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่ชอบ Zoom หรือชอบถ่ายอะไรในระยะไกลมาก ๆ เลนส์ช่วง 2x หรือ 50mm ใน vivo X80 5G ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคุลมากแล้ว ทั้งการถ่ายภาพปกติ และการถ่าย Portrait ครับ


กับ ราคาค่าตัวที่ 29,990 บาท รีบไปจับจองกันก่อนที่ของจะหมดนะครับ

 
1 ความคิดเห็น
bottom of page