สวัสดีครับทุกคนกลับมาเจอกับแก้ว และ Smartphone Flagship จากทาง Samsung กันอีกครั้งนะครับ เป็นตัวที่หลายคนรอคอยกันอยู่ด้วย นั่นก็คือ Samsung Galaxy S23 Ultra นั่นเองครับ เดี๋ยววันนี้เรามาดูกันว่า มันแตกต่างจาก Galaxy S22 Ultra แค่ไหน ทั้งในเรื่องของการใช้งานทั่วไป และกล้องถ่ายภาพ ที่ได้มีการอัพเกรด Sensor ใหม่ความละเอียด 200MP เข้ามา และที่ทาง Samsung บอกว่า นี่คือที่สุด สำหรับสาย Zoom มันจะจริงแค่ไหน ไปดูรีวิวกันครับ
SPECIFICATION
Body Dimensions : 163.4 x 78.1 x 8.9 mm
Weight : 234 g
Display : 6.8 inches Dynamic AMOLED 2X | 2K+ | Refresh Rate 120Hz Touch Sampling 300Hz | HDR10+ | Peak brightness 1750 nits
Chipset : Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2
RAM : 12GB LPDDR5 | ROM : 256GB UFS 4.0
Stereo Speakers | Ultrasonic Fingerprint | IP68
WiFi 6E | Bluetooth 5.3 | 5G | Type-C 3.1
Battery 5,000 mAh | 45W wired, PD3.0 | SOT up to 7hrs
Operation System Android 13, One UI 5.1
DESIGN : การออกแบบ
สำหรับการออกแบบตัวเครื่องของ Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น ภาพรวมคือ เหมือนกับ Galaxy S22 Ultra มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Shape ตัวเครื่อง หรือ Layout ในการจัดวางสิ่งต่าง ๆ ก็คือ ใกล้กับ Generation ที่แล้วมาก
ส่วนที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยก็คือ บริเวณขอบโลหะของ ตัวเครื่องที่จากใน Samsung Galaxy S22 Ultra นั้น จะมีความโค้งมน ส่วนใน Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น จะมีความ Flat มากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าแบนราบสนิทไปเลยนะครับ ผลลัพท์ก็คือ เวลาเราจับถือเครื่องมันมี Grip ที่ดีมากขึ้น แม้จะไม่ได้ใส่ Case ก็ตาม
บริเวณด้านล่างของตัวเครื่องก็จะเป็นที่อยู่ของ Port USB-C 3.2 | Stereo Speaker | Microphone | Dual-Sim Card Slot และ S-Pen อยู่ที่บริเวณมุมซ้ายสุดของด้านล่างตัวเครื่องครับ ส่วนด้านบนก็จะมี Microphone และ ลำโพงอีกหนึ่งตัว
สีตัวเครื่องที่แก้วได้มาจะเป็นสี Phantom Black ซึ่งเอาจริง ๆ เป็นสีที่แก้วชอบที่สุดใน Samsung Galaxy มาตั้งแต่ Galaxy S21 Ultra แล้วล่ะครับ ฝาหลังทำมาจากกระจก Recycle เรื่องทนรอยนิ้ว ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีมาก ถึงแม้จะมีรอยเปื้อนขึ้นก็ตาม ก็สามารถที่จะทำความสะอาดได้ง่ายมากครับ
Layout ของ Module กล้องหลังนั้น Layout การจัดวางนั้น เหมือนเดิมเลยก็ว่าได้ แต่ส่วนที่มีความแตกต่างมากขึ้น ก็จะเป็น ขอบโลหะกรอบของหน้าเลนส์ ที่มีความหนาขึ้น ช่วยป้องกันการกระแทกได้ดีขึ้น แต่ไม่โดนอะ ดีที่สุดแล้ว
DISPLAY : หน้าจอ
หน้าจอของ Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น เป็นอีกหนึ่งจุดที่ โดดเด่น และมีความล้ำสมัยมาก มาตั้งแต่ Samsung Galaxy S22 Ultra แล้ว ใน Generation นี้ก็เลยยังเลือกใช้หน้าจอในรูปแบบเดิมอยู่ โดยจะมีขนาดที่ 6.8 นิ้ว และ อัตราส่วนหน้าจอที่ 19.3:9 ซึ่งจะให้พื้นที่ด้านข้างที่มากขึ้น เหมาะกับการใช้ S Pen
Panel ของหน้าจอยังคงเป็น Dynamic AMOLED 2X ที่ความละเอียดระดับ WQHD+ (3080 x 1440 พิกเซล) รายละเอียด ความคมชัดของหน้าจอ คือ ยอดเยี่ยม ไร้ที่ติจริง ๆ ติดอันดับ Top 3 ของ Flagship Smartphone ในตลาดแน่นอน จะเอาไปใช้งานด้าน Entertainment ก็ตอบโจทย์ดีมาก ทั้ง Streaming Content และ Gaming
มี Fingerprint อยู่ใต้จอ เป็นแบบ Ultrasonic ซึ่ง ส่วนตัวแก้วคาดหวังว่า มันน่าจะเร็วปรู๊ดปร๊าดกว่าเดิม แต่ผลลัพท์ก็คือ เร็วขึ้นนะ แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นที่ใช้ Technology เดียวกันนี้
การใช้งานหน้าจอทั่ว ๆ ไป การ Touch ต่าง ๆ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ไม่รู้จะติอะไรเลยจริง ๆ ยิ่งเวลามาร่วมกับตัว ONE UI 5.1 ที่ ทั้งคลีน ทั้งลื่นไหล ไม่ได้มี Animation วูบวาบ อะไรมากมาย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย
ระดับของความละเอียดหน้าจอที่เราสามารถเลือกปรับได้ 3 ระดับ โดยส่วนตัวแล้ว แก้วจะใช้ที่ FHD+ เป็นหลัก เพราะว่ายังได้รายละเอียดที่คมชัดอยู่ และไม่ใช้พลังงานไปกับหน้าจอจนมากเกินไปนะครับ ยกเว้นตอนทำงาน หรือเช็คงาน ถึงจะสลับมาใช้ WQHD+
เรื่องของความสว่างหน้าจอ จุดนี้เป็นอีกจุดที่แก้วค่อนข้างประทับใจ คือ ส่วนของ Peak Brightness นั้น มันเท่าเดิมเลยครับ ที่ 1,750 nits แต่จุดที่เขาทำได้ดีขึ้นก็คือ มันสามารถแช่ Peak Brightness เอาไว้ได้นานกว่าเดิม แม้จะเจอวันที่อากาศร้อนก็ตาม ทำให้ำการใช้งานกลางแจ้งนั้น ได้ Experience ที่ดีมากพอสมควร
ตัว Feeling การเขียนของปากกา S pen ก็คือ ลื่นไหลเหมือนเดิม ยิ่งถ้าเป็นคนที่ใช้รุ่นที่แล้วมา หรือเป็นคนใช้อุปกรณ์ประเภท Stylus จนชินแล้ว ใช้เวลาไม่กี่นาที ก็จับความรู้สึก และน้ำหนักการเขียนได้ไม่ยาก แถมฟีเจอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ มันเยอะจริง ทั้งแปลภาษา จด Note ข้าม App , Di-cut ภาพ เยอะมาก พูดไม่หมด
CAMERA : กล้องถ่ายภาพ
เรามาต่อกันที่ชุดกล้องหลังของ Samsung Galaxy S23 Ultra กันบ้างครับ ตอนเราเห็น Spec ครั้งแรก ดูแบบผิวเผินแล้ว ก็รู้สึกว่า แทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากตัวเดิมเลย จะมีเด่นชัดที่สุดจริง ๆ ก็คือ Sensor ในกล้องหลัก ที่ได้มีการอัพเกรดขึ้นมาจาก 100MP เป็น 200MP ด้วย Sensor ใหม่ ISOCELL HP2
MAIN CAMERA 200 MP | f/1.7 | 24mm | multi-directional PDAF | Laser AF, OIS
ULTRA WIDE ANGLE 12MP | f/2.2 | 13mm | 120˚ | Dual Pixel PDAF, Super Steady video
MEDIUM TELEPHOTO 10 MP | f/2.4 | 70mm | Dual Pixel PDAF | OIS | 3x optical zoom
PERISCOPE TELEPHOTO 10 MP, f/4.9, 230mm | Dual Pixel PDAF | OIS |10x optical zoom
FRONT CAMERA 12MP f/2.2 | 26mm | Dual Pixel PDAF
เห็น Spec กล้องแบบนี้ อย่าคิดว่าเขามามุกเดียวกับใน Galaxy S22 Ultra นะครับ เพราะมีหลายจุดที่ดีขึ้นแบบ ผิดหูผิดตามาก ๆ อยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่อง Zoom ด้วย แต่จะมีเรื่องไหนบ้าง ไปดูภาพจากกล้องแต่ละตัวกันครับ
MAIN CAMERA : กล้องหลัก 200MP | ISOCELL HP1
งั้นเรามาเริ่มกันที่กล้องหลักความละเอียด 200MP ตัวนี้กันเลยนะครับ ภาพที่ได้จากกล้องหลักตัวนี้ เมื่อเทียบกับกล้อง 108MP ใน Samsung Galaxy S22 Ultra ต้องบอกว่าตัวนี้ดีกว่าเยอะพอสมควร ไม่ใช่แค่เรื่อง Resolution แต่ความใสของภาพ โทนสี
ตัว Auto Exposure และ Auto White Balance ทำงานได้ดีมากลักษณะของการวัดแสงใน Mode Auto ของ Samsung Galaxy S23 Ultra คือ จะวัดแสงโดยเน้นความพอดี Highlight กับ Shadow อาจจะมีหลุด ๆ บ้าง แต่ Software HDR ที่ประสิทธิภาพสูง ทำให้ภาพมี Dynamic Range ที่กว้างกำลังดี
Character ในส่วนอื่น ๆ ที่ค่อนข้างแสดงออกมาชัดเจน ก็คือ ภาพจะดูคมมากกว่า Galaxy S22 Ultra แต่สาเหตุมาจากการที่ มีการเพิ่ม Sharpness เข้ามาในภาพกว่าเดิมอยู่เยอะพอสมควร สำหรับบางคนอาจจะรู้ว่ามัน Over process ก็ได้ แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไป ทำให้เวลาถ่ายภาพมาเสร็จแล้ว แม้จะดูในหน้าจอเล็ก ๆ ก็ยังสัมผัสได้ถึงความคมชัดของภาพ ซึ่งก็ต้อง Trade off กันไประหว่างความเป็นธรรมชาติของภาพที่ได้
Software HDR ที่ได้รับความปรับปรุงมาใหม่ ทั้งความแม่นยำ และ ระดับของการย้อนแสงที่ไม่เยอะมากจนเกินไป คือ ใน Galaxy S22 Ultra แก้วก็ว่าดีแล้วนะ แต่มาในรอบนี้คือดีขึ้นมากจริง ๆ ในช่วงวันที่แก้วถ่ายรีวิว เป็นวันที่ PM 2.5 เยอะมาก ฟ้าก็เลยจะปิดหน่อย แต่ HDR ตัวนี้ เก่งพอที่จะดึงรายละเอียดในส่วนเมฆออกมาได้ ทำให้เรายังเห็นสีฟ้าจากส่วนท้องฟ้าได้บ้าง
ในแง่ของความละเอียดภาพนั้น ถือว่า ทำได้ดีขึ้นจากใน Samsung Galaxy S22 Ultra อยู่ 2 เท่าเลย เวลาเราถ่ายภาพด้วย Mode Hi-res 200MP แล้วเอามา Crop จะเห็นว่า เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ มาได้ดีมากทีเดียว
การถ่ายภาพใน Mode นี้ จากที่แต่ก่อนใน Galaxy S22 Ultra อาจจะต้องอาศัยสภาพแสงที่ดีมาก ๆ เช่น ตอนกลางวันที่ยังมีแดดส่องทั่วถึง แล้วจะได้ภาพที่คมชัด ไม่มี Noise มารบกวนเวลาเราซูมดูภาพ แต่ใน Galaxy S23 Ultra Software การจัดการ Noise ทำมาได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม แถมเวลาถ่ายย้อนแสง มี HDR ให้ด้วยนะครับ ปรบมือ ให้มาสักที นอกจากนั้น ใน Mode 200MP นั้น เราสามารถที่จะ Crop on sensor ได้ไกลสูงสุดที่ 6x กันเลยทีเดียว แต่ระยะที่แก้วแนะนำให้ใช้งาน ที่ Detail ของภาพนั้นยังดีอยู่ ไม่เละเป็นสีน้ำ ก็คือ 2x และไกลสุดไม่เกิน 4x ครับ
โดยเราสามารถเอา Mode 200MP ตัวนี้ ไปปรับใช้กับ Macro Photography ได้อีกด้วย โดยอาจจะเป็นการใช้ 200MP Crop Zoom 2x จ่อ ๆ กับวัตถุที่เราต้องการ ได้ทั้งระยะ ได้ทั้ง Resolution ด้วยนะครับ
ตัว Depth of field ของกล้องหลักตัวนี้ เมื่อเทียบกับ Smartphone ที่ใช้ Sensor ขนาดหนึ่งนิ้ว มันอาจจะ เบลอฉากหลังไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก แต่ด้วยระยะในการโฟกัสใกล้สุด มันค่อนข้างใกล้มาก ๆ ทำให้การจะถ่ายภาพเบลอหลัง ทำได้ไม่ยากเลยครับ
ULTRA WIDE ANGLE CAMERA : กล้องมุมกว้างพิเศษ 12MP
เรามาต่อกันที่กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 12MP ตัวนี้กันครับ ในความเห็นของแก้ว หลังจากที่ได้ลองถ่ายภาพมาในหลากหลายสภาพแสงแล้ว มันยังเป็นกล้อง Ultra Wide Angle ที่เราไว้ใจได้เหมือนเดิม รู้สึกอยากจะเอาออกมาใช้งานบ่อย ๆ เหมือนเดิม
คุณภาพของไฟล์ภาพที่ใช้งานได้หลากหลายสภาพแสง ตั้งแต่สภาพแสงปกติ ที่มีแสงเพียงพอ ภายในอาคาร ไปจนถึงการย้อนแสง กล้องตัวนี้ ก็ตอบสนองเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการย้อนแสง เป็นจุดที่แก้วรู้สึกว่าดีขึ้นจาก Galaxy S22 Ultra อย่างมีนัยยะสำคัญ สามารถจะกด Highlight ได้สนิท สำหรับคนที่ชอบ Dynamic Range กว้าง ๆ
ในแง่ของ Perspective และ Distortion เวลาเราถ่ายภาพด้วยกล้องตัวนี้ เวลาเราดูภาพ Preview ใน Camera App เราจะเห็นว่า ขอบมันจะดูเบี้ยว ๆ อยู่เล็กน้อย แต่เมื่อกดถ่ายไปแล้ว ตัว Software จะทำการ Correction สิ่งต่างๆ ให้เราหมดเลย
แต่ว่ากล้องตัวนี้ เวลาเราถ่ายภาพในที่แสงน้อย ด้วย Mode Auto ตัวกล้องจะมีการ ใช้ Noise Reduction ที่ค่อนข้างจะหนักมืออยู่พอสมควร ซึ่งทำให้เหมือนเป็น ไฟต์บังคับว่า ถ้าต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด ก็ควร Switch ไปใช้ Night Mode
แก้วเจอข้อสังเกตอยู่เล็กน้อยเวลาใช้งานกล้อง Ultra wide angle ตัวนี้ จุดแรกเลยก็คือ เวลาที่เราถ่ายภาพในสภาพแสงที่มัน Complicate มาก ๆ เช่น ฉากหลังสว่างจน Highlight เยอะ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพอยู่ใน ส่วนเงา หรือว่า Shadow ตามขอบภาพ เราจะเจอ Color Noise โผล่ขึ้นมาให้เห็นได้บ้าง
และอีกหนึ่งจุดก็คือ เวลาเราที่เราถ่ายภาพย้อนแสง บางครั้งเราจะพบว่าขอบภาพที่เคย คมกริบในสภาพแสงปกติ จะเกิดอาการฟุ้งอ่อน ๆ ประมาณ 5% ด้านซ้าย และด้านขวา ถ้ามองเผิน ๆ อาจจะสังเกตแทบไม่เห็น ต้องซูมดูถึงจะเห็นความแตกต่างนะครับ ซึ่งไม่แย่นะ แบรนด์อื่น ๆ เป็นกันมากกว่านี้ก็มีเยอะครับ
MEDIUM TELEPHOTO 3x : เทเลโฟโต้ระยะกลาง 10MP
มาต่อกันที่กล้อง Telephoto ระยะกลาง 3x กันบ้างครับ โดยที่กล้องตัวนี้จะมี Focal Length อยู่ที่ 70mm ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะกับการถ่ายภาพ Street Photography | Urban Photography หรือจะเป็น Minimal Photography เพราะเราไม่ต้องเข้าใกล้วัตถุมากจนเกินไป และ Perspective ของภาพ จะดูมีความตรงมากกว่ากล้องระยะ 1x มาก ๆ
ซึ่งในส่วนของ Hardware นั้นเป็นตัวเดิม แต่มีการปรับปรุงในเรื่องของ Software มาให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สามารถจัดการ Noise ได้ดีขึ้น และการกันสั่นที่นิ่งมากยิ่งขึ้น ตัวโทนสีทำออกมาได้ค่อนข้างใกล้เคียงกล้องหลัก
หรือ ใครที่สายถ่ายสถาปัตยกรรมเนี่ย ระยะ 3x ก็ยังค่อนข้างเหมาะ แต่เราอาจจะปรับวิธีการ Framing ภาพสักเล็กน้อย เพราะมันค่อนข้างก่ำกึ่งเนาะ ไม่แคบ ไม่กว้าง แต่ใช้ไปสักพักก็จะเริ่มชิน แล้วก็ถ่ายภาพได้สวยไม่ยากเลยครับ
หรือ จะเอามาแอบส่องแมวที่นอนอาบแดดยามบ่ายชิว ๆ ไม่ให้น้องรู้สึกก็ทำได้ครับ ลองสังเกตระยะที่แก้วยืนห่างจากตัวแมว ไกลเหมือนกันนะ เกือบ ๆ 3 เมตรเลยนะครับ
คุณภาพของไฟล์ภาพในกล้องตัวนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะมีความรู้สึกว่า มันแพ้ที่แสงน้อยไปบ้าง ถ้าเกิดเราใช้ Mode Auto ในการถ่ายภาพ เวลาเจอสภาพแสงที่มันยาก ๆ เช่น มีส่วน Shadow ในภาพค่อนข้างเยอะ ก็จะพอพบเห็น Noise ได้บ้างนะครับ แต่อย่าลืมว่า มี Noise ก็มี Detail นะ บางทีการที่ Noise หายไปหมด มันก็เอารายละเอียดเราไปเหมือนกัน
PORTRAIT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพบุคคล
มาถึงจุดที่แก้วบอกเลยว่า ค่อนข้าง Surprise มาก ไม่นึกว่าแค่ Generation เดียว Samsung จะยกระดับการถ่ายภาพ Portrait ของตัวเองมาได้ไกลขนาดนี้ แก้วคิดว่าหลาย ๆ คนที่เคยดูรีวิว Galaxy S22 Ultra ของแก้วคงจะจำได้ว่า แก้วเลยพูดว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็น Smartphone ที่ถ่ายภาพบุคคลสวยนะ แต่มันอาศัยฝีมือของผู้ถ่ายค่อนข้างมาก
แต่พอมาใน Samsung Galaxy S23 Ultra เหมือนเขาได้ยินเสียงที่เราเคยบ่นไปว่า มันถ่ายยาก มันเข้าถึงยาก ครั้งนี้จัดเต็มมาให้เลย ที่ชัดเจนที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่อง Auto HDR เวลาเราถ่ายภาพ Portrait ในที่สุดก็ใส่เข้ามาให้แล้ว
และ ลักษณะในการทำ Auto HDR ใน Mode Portrait นั้น คือ จะคล้าย ๆ กับการถ่ายภาพแบบปกติเลย คือเขาไม่ได้พยายามที่จะเพิ่มแสงในส่วน Shadow เข้ามามาก เพื่อให้ภาพมันยังดูเป็นธรรมชาติได้อยู่ แต่ กด Highlight ลงได้เยอะ ดึงรายละเอียดส่วนสว่างกลับมาได้ดีมาก เห็นดวงอาทิตย์เป็นดวงกลม ๆ เลย
ในเรื่องของ Skintone เวลาเราถ่าย Portrait ตัว Software Auto White Balance ของกล้อง จะไม่ได้พยายามแก้ในเรื่องของสีผิวมากนัก เช่น เราถ่ายภาพในช่วงเย็น ๆ ประมาณ 5 โมงเย็น ที่แสงแดดมันออกจะเหลือง ๆ ส้ม ๆ แล้วเราจัดวางตัวแบบไปให้โดนแสงนั้น ตาเราเห็นยังไง กล้องก็ถ่ายออกมาแบบนั้นเลยครับ ในเรื่องของความเป็นธรรมชาติเนี่ย ได้เปรียบมาก ๆ
สำหรับ ระยะที่เราสามารถใช้ในการถ่ายภาพ Portrait ได้นั้น ยังเท่าเดิมอยู่นะครับ ก็คือที่ระยะ 1x และที่ระยะ 3x ซึ่งตอนแรกแก้วแอบคาดหวังให้มันใช้ที่ระยะ 10x ได้ด้วย ถ้าได้จริง ๆ ในอนาคต ก็คงจะเหมือนเรามีเลนส์ 70-200 เอาไปถ่าย Portrait ได้เลยนะครับ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เจ๋งมากแล้ว
สำหรับในเรื่องของการทำ Depth of field หรือละลายฉากหน้า ฉากหลังใน Mode Portrait ของ Galaxy S23 Ultra นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาก ๆ เพราะตัว Software กล้อง สามารถจะแยกแยะได้ว่า บริเวณไหนในภาพที่มี Optical depth of field และบริเวณไหนที่ควรจะใส่ Software Blur เข้าไปช่วย อย่างภาพนี้ ฉากหน้าเป็น Optical Blur และ ฉากหลังตัวกล้องใส่ Software Blur เข้าไปบาง ๆ เท่านั้น
หรือ ว่าจะเป็นภาพนี้ที่แก้วใช้กล้อง Telephoto 3x ในการถ่ายภาพ เราจะสังเกตเห็นว่า ส่วนที่เป็นเงาสะท้อนของตัวแบบ Software ในการเบลอฉากหลัง ไม่ได้เบลอส่วนนั้นทิ้งไป เพราะว่ามันจับได้ว่าเป็นใบหน้าของตัวแบบ เลยทำให้ภาพนี้ Depth of field และมิติของภาพดูสมจริงมาก ๆ
ทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องของการถ่ายภาพ Portrait Setup ในการถ่ายที่แก้วใช้บ่อย และชอบมากที่สุดก็คือ ใช้กล้องระยะ 3x ปรับ Blur อยู่ที่ระดับ 30% - 40% แล้วปรับ Skin Beauty อยู่ที่ประมาณ Level 3 เพื่อที่จะรักษารายละเอียด Texture ของผิวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยที่ผิวยังเรียบเนียนจาก Software ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน
สำหรับการถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อยนั้น มีทั้งจุดที่แก้วอยากชม และจุดที่รู้สึกว่า น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เรื่องที่อยากชมก็คือ Performance ของตัว Software ช่วยเหลือในการถ่ายภาพ Portrait ถ่ายตอนกลางวันเก่งยังไง ตอนกลางคืนก็ยังเก่งอย่างงั้น ไม่ Drop อะไรลงไปเลยดีมาก ๆ
เวลาถ่ายภาพตอนกลางคืน แค่เรามี ไฟแฟลช จากมือถืออีกสักเครื่อง ส่องเป็น Key Light ให้ตัวแบบห่าง ๆ ออกมาหน่อย แล้วใช้กล้องระยะ 1x ที่รับแสงได้มากที่สุด ไฟล์ภาพใสที่สุด แก้วบอกเลยว่า ใครได้ลองก็ติดใจ เพราะถ่ายออกมาได้สวยจริง ๆ
หรือ ถ้าใครไม่มีมือถืออีกเครื่องจะมาเปิดไฟแฟลชใส่ ก็ใช้ไฟแฟลชจาก Galaxy S23 Ultra นี่แหละ สาดเข้าไปเลย แล้วหาฉากหลังที่มันมีสีสวย ๆ เอามา Contrast กับตัวแบบหน่อย ก็ได้ภาพ Portrait ที่ดู Street แล้วครับ
แต่ถ้าฟ้ามืดลงจนสนิทเมื่อไหร่ การถ่ายภาพ Portrait ในระยะ 3x แล้วเราไม่มีแหล่งกำเนิดแสงมาช่วยเนี่ย เป็นอะไรที่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ครับ เพราะว่า Noise จะมาได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งแก้วเองแอบสงสัยว่า ถ้า Samsung ทำ Software Night Portrait ออกมาด้วย โดยการถ่ายภาพแบบ Night Mode ก่อน แล้วค่อยเอามาใส่ Blur กับ Beauty Mode ทีหลัง Option ในการถ่ายภาพ Portrait ตอนกลางคืนก็จะเพิ่มมากขึ้นเยอะเลยครับ
PERISCOPE TELEPHOTO 10x : เทเลโฟโต้ระยะไกล 10MP
ผ่านมาหนึ่งปีเข้าไปแล้ว สิ่งที่ทาง Samsung ยังคงเน้นเหมือนเดิม ก็คือ เรื่องของการ Zoom โดยกล้องที่ยังเป็นพระเอกในเรื่องของการ Zoom นั้นก็คือ Periscope Telephoto 10x ความละเอียด 10MP โดยในระยะของการ Hybrid Zoom ที่ไม่เกิน 30x ตัวสัญญาณภาพนั้นจะมาจากกล้องตัวนี้แบบเพียว ๆ
แต่ถ้ามีการ Zoom ไกลมากกว่านั้น ไปจนถึง 100x แก้วคิดว่า น่าจะมีการนำสัญญาณภาพจากกล้องหลักความละเอียดสูง 200MP เข้ามา Merge เข้าไปด้วย ถ้าใครที่มีเครื่องแก้วอยากให้ลอง ถ่ายภาพแบบ Zoom ปกติ กับถ่ายภาพแบบ Hi-Res 200MP แล้วเอามา Crop คุณภาพที่ได้ คือ แทบจะเหมือนกันเลย แต่พอเป็นการ Zoom ตรง ๆ จะมีการ ลบ Noise และเพิ่ม Sharpness เข้าไปเล็กน้อย
สำหรับเรื่อง Zoom แก้วก็ขอเอาไว้เท่านี้ละกันนะครับ เพราะว่ากล้องตัวนี้เนี่ย มันมีดีมากกว่าที่จะให้เราเอามา Zoom เป็นกล้องส่องทางไกลแบบนี้อย่างเดียว เราสามารถถ่ายภาพสิ่งที่อยู่ในระยะไกล ๆ ในมุมมองที่ อาจจะไม่เคยเห็นได้
หรือ จะเป็นการ ดึง Object ที่อยู่ไกล ๆ ให้เข้ามาชิดกับฉากหน้าที่เราจัดวางเอาไว้ เพื่อสร้างมิติให้กับภาพถ่ายของเรา กล้องตัวนี้ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
หรือใครที่ชอบ Bokeh ทรงสี่เหลี่ยมใน Style Periscope Camera ก็สามารถเอามาถ่าย Object ขนาดกลาง จนถึงขนาดเล็ก แล้วได้ Bokeh สวย ๆ แบบนี้ก็ทำได้ไม่ยากเช่นเดียวกันนะครับ
จะเอาไปถ่ายภาพย้อนแสงจัง ๆ แบบนี้ บอกเลยว่า Dynamic Range ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก นี่ Hardware ตัวเดิมนะเนี่ย ไม่รู้คุณพี่ Samsung แอบไป Fine Tuning อะไรมา คือ ไม่รู้จะติอะไรจริง ๆ เป็นกล้อง Telephoto 10x ที่แก้วยกให้เลยว่า ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ของวงการกล้องมือถือเลย
LOW LIGHT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยนั้น คือ จุดที่ Samsung Galaxy S23 Ultra ทำได้ดีขึ้นมากพอสมควร ในทุก ๆ กล้องเลย ไม่ใช่แค่กล้องหลักที่เปลี่ยน Sensor มาเท่านั้นนะครับ Night Mode สามารถใช้งานได้ในทุกกล้อง อย่างภาพที่ทุกคนดูอยู่นี้ก็จะเป็น Ultra Wide Angle นะครับ
แต่กล้องที่ Perform การถ่ายภาพในเวลากลางคืนออกมาได้ยอดเยี่ยมมากที่สุด ก็คงจะไม่พ้น กล้องหลักที่ได้ Sensor ตัวใหม่มานั่นเองครับ ที่แก้วบอกว่ามันดีเนี่ย ในแง่ของรายละเอียด และความสว่างของภาพที่ได้นั้น มันสู้ Smartphone ที่ใช้ Sensor ขนาดใหญ่ ๆ อย่าง IMX989 ได้สบาย ๆ เลยครับ ความใสของไฟล์ภาพใน Night Mode ก็ทำได้ดีมาก ๆ
จริง ๆ แล้วถ้า Scene ที่เราเลือกถ่ายมันมีแสงสว่างเพียงพอ เราสามารถจะกดถ่ายภาพใน Mode Auto ได้เลย โดยที่กล้องจะมีการลากชัตเตอร์อยู่ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะใช้เวลาสั้นกว่า Night Mode นะครับ ความสว่างของภาพที่ได้ ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ความใสของไฟล์ภาพ Night Mode จะใสกว่า
ถ้าให้เทียบคุณภาพของ Night Mode ในกล้องหลังทั้งหมด กล้อง Telephoto 3x ตัวนี้จะค่อนข้าง Drop มากที่สุด คือไม่ใช่ว่ามันแย่นะครับ แต่กล้องตัวอื่นมันทำออกมาได้โดดเด่นมาก ๆ ตัวนี้ ความสว่างใช้ได้ แต่เรื่องของความคม อาจจะสู้ตัวอื่นไม่ได้นะครับ
ปิดท้ายด้วย Telephoto 10x ใน Night Mode ยิ่งพอเอากล้องตัวนี้มาลองถ่ายตอนกลางคืนแล้ว ยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่ Samsung พา Hardware ตัวเดิม มาได้ไกลขนาดนี้เลย ด้วยการปรับแต่ง Software แล้วก็ได้ ISP ใหม่จาก Snapdragon เท่านั้นเอง สุดจริงอะไรจริง
Panorama Mode ที่รอบนี้เวลาถ่ายภาพย้อนแสง มี HDR ให้เราได้ใช้งานแล้วนะครับ ไม่ต้องกลัวภาพจะมืดอีกต่อไป ตอนถ่ายก็แค่เลื่อนมือไปตามที่เราอยากได้ พอประมวลผลเสร็จ ก็ได้แบบนี้เลย
และ ขอปิดท้ายการถ่ายภาพ Low Light Photography ด้วย การถ่ายภาพดวงจันทร์ แบบที่ชาวบ้านเขาลงไปกันตั้งนานแล้วละกันนะครับ 5555
RAW File Performance : ประสิทธิภาพของ RAW File
มาต่อกันที่ RAW File Performance ใน Samsung Galaxy S23 Ultra กันครับ นี่คืออีกหนึ่งจุดเด่นที่น้อยคนจะสนใจหยิบมันออกมาใช้ นั่นก็คือ Expert RAW นั่นเองครับ
เราสามารถถ่าย RAW ได้ทุกกล้อง ทั้งในชุดกล้องหลัง ตั้งแต่กล้อง Ultra wide Angle | Wide Angle | Telephoto 3x | Telephoto 10x ได้ทั้งหมดเลย แถมในครั้งนี้กล้องหน้าก็ถ่าย RAW ได้นะ ลักษณะของ Expert RAW จะเป็น Computational RAW ที่มีการใส่ Color Profile เข้ามาให้แล้วเล็กน้อย
สามารถเลือกขนาดไฟล์ได้ โดย RAW File 12MP จะเลือกได้ทุกกล้อง แต่ถ้าเป็น RAW File 50MP จะเลือกได้แค่กล้องหลัก ซึ่ง ในแง่คุณภาพนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก จะต่างกันแค่จะได้ Resolution เพิ่มมาเท่านั้นเองครับ
จุดที่ทำให้ Expert RAW ตัวนี้น่าสนใจก็คือ นี่น่าจะเป็นครั้งแรก ที่ได้เห็น RAW File มี HDR ด้วย เวลาเราถ่ายภาพย้อนแสงด้วย Mode Auto ปกติ รายละเอียดที่ HDR ดึงกลับมาให้เรามันก็กว้าง และยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราใช้ Expert RAW ถ่ายภาพย้อนแสง HDR ใน Mode นี้ นอกจากจะเปิดรายละเอียดส่วนต่าง ๆ ให้เราได้แล้ว มันยังมีความยืดหยุ่นในการนำไป Process ต่อได้ดีมาก ๆ
คุณภาพของ RAW File ก็ลดหลั่นกันไปตามกล้องแต่ละตัวนะครับ ที่กล้องหลักดีที่สุด รองลงมาก็ Ultra Wide Angle รองลงก็ Telephoto 3x ที่เราชอบ ๆ เอามาถ่าย Portrait กันนั่นแหละ
และปิดท้ายด้วย Telephoto 10x ซึ่งตอนแรกเนี่ย แก้วไม่ได้คาดหวังนะว่า มันจะออกมาดีขนาดนี้ เผลอ ๆ Telephoto 10x ตัวนี้ RAW จะดีพอ ๆ กับ Telephoto 3x เลย ทั้งที่ รับแสงได้น้อยกว่า เพราะเลนส์มี f/stop สูงถึง 4.9
FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 12MP
ทีนี้เราพลิกมาดูภาพจากกล้องหน้าความละเอียด 12MP ตัวนี้กันบ้างครับ หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย เขาลด Spec ลง มันจะแย่ลงหรือเปล่า ต้องบอกว่า ไม่เลยครับ ถ่ายได้ดีเหมือนเดิมเลย แต่ถ้าถามว่าตัวใหม่ กับตัวเก่า อันไหน คมกว่ากัน ก็แอบรู้สึกว่า ตัว 40MP คมกว่านิด ๆ ซึ่งก็ไปปรับ Sharpness ทีหลังก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่
โดยองศาการรับภาพจะอยู่ที่ 26mm ก็ถือว่า ไม่กว้างจนเป็น Ultra Wide และไม่แคบจนต้องยื่นสุดแขน โดยเราสามารถปรับองศาการรับภาพได้ 2 ระดับ โดยส่วนตัวแล้ว แก้วจะเปิดกว้างสุดไว้ตลอดเลย
เวลา Selfie ออกมา Skintone สวย ออกจะหวานนิด ๆ กว่า S22 Ultra ด้วยนะ การทำ Beauty Mode เราก็ไม่ต้องเปิดเยอะแยะอะไรมาก สัก Lv.3 ก็พอแล้ว การเบลอฉากหลังในกล้องหน้า ความแม่นยำในการตัดขอบนั้น เทียบชั้นกล้องหลังได้เลย แต่การไล่ระดับการเบลอนั้น มันอาจจะยังไม่สวยเท่า Portrait ในกล้องหลังนะครับ
VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ
ตอนนี้ทุกคนก็ได้เห็นภาพนิ่งจากทั้งกล้องหน้า และ ในกล้องหลังกันไปแล้ว เรามาดูงาน Video กันบ้างดีกว่าครับ สำหรับการถ่าย Video ใน Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น ความละเอียดสูงสุดจะอยู่ที่ 8K 30fps ที่กล้องหลัก โดยที่จะมี Bitrate อยู่ที่ 80mbps ซึ่งถามว่ามีตัวที่ให้ Bitrate เยอะกว่านี้ไหม ? ก็ต้องบอกว่ามีครับ แต่คุณภาพตัวนี้ก็ไม่ได้แย่เลยนะ เป็น 8K ที่ใช้งานได้จริง แต่ถ้าหากใครต้องการจะใช้งาน Video ความละเอียดสูงในทุกกล้อง ก็ต้องลด Resolution ลงไปที่ 4K 60fps ที่ Bitrate 45mbps แทน
ในเรื่องของการกันสั่นคือ ทำได้ดีกว่าเดิมเล็กน้อย คือจริง ๆ กันสั่นใน Galaxy S22 Ultra มันก็ดีมากแล้ว ครั้งนี้เลย Calibrate มานิดหน่อย ให้กล้อง Telephoto มีความนิ่งมากยิ่งขึ้น ส่วนกล้องหลัก และ Ultra Wide คือนิ่งจัด ๆ อยู่แล้ว
จุดที่แก้วชอบในการถ่าย Video ของ Galaxy S23 Ultra ก็คือ Portrait Video หรือการถ่าย Video แบบละลายฉากหลัง ที่สามารถถ่ายใน Resolution สูงสุดได้ถึง 4K 30fps แล้ว ทั้งในกล้องหน้า และกล้องหลังเลยนะ คือ ดีมาก ๆ แล้วพวก ระบบกันสั่นต่าง ๆ การถ่าย Video ย้อนแสงแล้วหน้าไม่มืด ก็ยังทำงานควบคู่กันไปใน Mode นี้ด้วยครับ
PERFORMANCE | ประสิทธิภาพ
สำหรับ Performance ของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S23 Ultra ในเรื่องของความแรง ความลื่นไหลในการใช้งาน ต้องขอชมทาง Qualcomm และ ทาง Samsung ในปีนี้ ที่ร่วมมือกัน Fine Tuning Chipset ตัวล่าสุดอย่าง Snapdragon 8 Gen 2 ออกมาได้ดีมาก ๆ
ทั้งความเสถียรในการใช้งาน เมื่อทำงานร่วมกับ ONE UI 5.1 ของทาง Samsung และ การจัดการความร้อนที่ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา เพราะใน Galaxy S22 Ultra ที่ใช้ CPU Snapdragon 8 Gen 1 นั้น แรงก็จริง แต่ก็ร้อนได้ง่ายพอสมควร เมื่อเจอกับสภาพอากาศของประเทศไทยเข้าไป
การใช้งานด้าน Entertainment ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเล่น Social Media เปิด App Streaming Content ทำได้เป็นอย่างดี ลื่นไหล และไม่กินพลังงานจนเกินไป
ส่วน Performance ในการเล่นเกมนั้น ตัวเกมที่แก้วเอามา Test ก็จะเป็น MIR M | Tower of fantasy | Nino Kuni Cross World ส่วนใหญ่จะเป็นเกม MMORPG ที่เป็น 3D สามารถจะปรับกราฟิกได้สูงสุด พร้อมกับ Frame Rate สูงสุด
ถ้าเล่นในห้องแอร์ การจัดการความร้อนนั้นทำได้ดีมาก สามารถจับถือตัวเครื่องเล่นเกมนาน ๆ ได้เลย โดยที่ไม่รู้สึกว่าร้อนมือ เพราะใน Galaxy S23 Ultra นอกจากจะมี Vapor Chamber | Liquid Cooling แบบใหม่แล้ว ยังมีแผ่นกันความร้อนที่หลังเครื่องมาให้ด้วย เวลาเล่นเกม Battery ลดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7% - 8% ต่อวัน
ในเรื่องของ Battery Life นั้น จากที่แก้วใช้งานมาในหลากหลายรูปแบบ ตลอดเกือบ 2 สัปดาห์ ถ้าเป็นวันที่ใช้งานหนัก ๆ เช่นวันที่ออกไปถ่ายภาพนอกบ้าน SOT จะอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 45 นาที แบบเปิด 4G Standby แต่ถ้าเปิด 5G ก็ลดลงไปไม่เยอะ แต่ถ้าเป็นวันไหนไม่ค่อยได้ใช้งานหนัก สามารถจะลากไปได้เลย 10 ชั่วโมง แบบ 5G Standby แบตเตอรี่คือ ถึกมาก ๆ เลยครับ
OVERVIEW & OPINION
Samsung Galaxy S23 Ultra เป็นเหมือนกับ ร่างสมบูรณ์ของ Samsung Galaxy S22 Ultra ที่ผู้ใช้หลาย ๆ คน รวมถึง Samsung Fans เองก็ยังรู้สึกว่า ตัวเก่าภาพรวมมันดีแล้วนะ แต่ Experience ในจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ มันยังไม่ค่อยลงตัว เช่น ขอบหน้าจอที่โค้งเกินไป เมื่อใช้งานร่วมกับ S Pen แล้วเขียนไม่ได้ถึงขอบ หรือ Chipset Snapdragon 8 Gen 1 ที่แรงใช้ได้ แต่ก็ร้อนพอสมควร รวมไปถึงกล้องถ่ายภาพที่ Hardware ดีมากแล้ว แต่ Features ช่วยเหลือในการถ่ายภาพนั้น ยังใช้งานยาก และเข้าถึงยาก
แต่พอมา Samsung Galaxy S23 Ultra ทาง Samsung ทำการบ้านมาดีมาก ๆ จุดที่รู้สึกว่า เป็นปัญหาในรุ่นที่แล้ว ถูกจัดการออกไปได้เกือบหมด ทั้งเครื่องที่แรงขึ้น แต่ร้อนน้อยลง ใช้พลังงานน้อยลง หน้าจอ และขอบตัวเครื่องที่มี Grip ในการจับถือดีกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุด ในเรื่องของกล้อง ที่เปลี่ยน Sensor มาเป็น ISOCELL HP2 ความละเอียด 200MP ที่ถึงแม้จะเป็น Sensor สาย Resolution แต่ถ้าแข่งความสว่าง ความใสของภาพ ก็สู้ Sony IMX989 ขนาดหนึ่งนิ้วได้แบบหายใจรดต้นคอ
การถ่ายภาพ Portrait ที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาก ๆ สามารถให้ผู้ใช้งานทั่วไป เข้าถึง Feature การถ่ายภาพ Portrait ที่ง่ายกว่าเดิมมาก ๆ การตัดขอบที่คมกริบแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และ Beauty Mode ที่รักษา Detail ของ Skintone ดั้งเดิมเอาไว้ได้ Mood ของภาพที่ออกมา มันเลยดูมีความสมจริงมากกว่าคู่แข่งในตลาดจากทางฝั่งจีนอยู่พอสมควร
และ ปิดท้ายด้วย Expert RAW ที่เสริม Color Profile และ HDR เข้ามาให้ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพด้วย RAW File ง่ายกว่าเดิม สีสันในภาพ แทบจะเหมือนกับใน Mode Auto เลย แต่ดูเป็นธรรมชาติกว่า ยืดหยุ่นกว่ามากเวลาเอาไฟล์ไปทำต่อ และที่สำคัญ เราสามารถ Share ไฟล์ภาพนี้ ไปที่ Social Media ได้เลย โดยที่ Software จะ Convert ไฟล์ให้เราเอง
Samsung Galaxy S23 Ultra วางจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นย่อย
RAM 12GB + Storage 256GB ราคา 43,900 บาท
RAM 12GB + Storage 512GB ราคา 49,900 บาท
RAM 12GB + Storage 1TB ราคา 59,900 บาท
ตอนนี้หลายคนน่าจะรับเครื่องกันไปแล้ว และอีกหลายคนก็รอเครื่องกันอยู่ ถ้าดูรีวิวนี้เสร็จแล้ว Happy กับมัน อยากได้ไปใช้งาน ก็ไปจัดกันได้เลยครับ
[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]
IG : kaew.ravie
Comments